การทำงานประจำเพื่อแสดงศักยภาพว่าเราทำงานได้ดี งานที่ออกมามีคุณภาพ หลายครั้งเรารู้สึกได้เลยว่ายังไม่เพียงพอ เราต้องทำอะไรมากกว่านี้ รู้และเข้าใจอะไรให้มากกว่านี้ แล้วเราจะได้เป็นคนทำงานที่องค์กรขาดไม่ได้อย่างแท้จริง Workplace survival guide เล่มนี้จึงเป็นคำแนะนำของคนทำงานประจำในออฟฟิศที่ไม่ขึ้นกับยุคสมัย และสามารถช่วยคนที่เป็นน้องใหม่ได้เข้าใจโลกของการทำงานมากขึ้นได้ ผลงานการเขียนโดย อาดาจิ ยูยะ แปลโดย กมลวรรณ เพ็ญอร่าม ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.คนส่วนใหญ่น่าจะเคยใช้วิธีเรียนแบบ “รับเข้า" ก่อน เพราะโดยทั่วไปแล้วการศึกษาในโรงเรียนส่วนมากจะเป็นแบบ“รับเข้า” ก่อน ไม่ได้เป็นแบบ “ให้ทําโจทย์ปัญหาก่อนแล้วค่อยอ่านในหนังสือ เรียนเฉพาะจุดที่ไม่เข้าใจ” แต่จะเป็นแบบ “อ่านหนังสือเรียนให้ดีก่อน แล้วค่อยทําโจทย์ปัญหา"แต่วิธีนี้มีข้อเสียอยู่หลายอย่าง ที่ชัดเจนคือก่อให้เกิดสถานการณ์ที่คนจะแก้ตัวได้ว่า “ทําไม่ได้เพราะไม่เคยเรียนมา” ยิ่งไปกว่านั้น เด็กที่เรียนมาก่อนแล้ว ก็อาจเจอเงื่อนไขไร้สาระอย่าง “ห้ามใช้ความรู้นอกเหนือตําราเรียน เช่น ห้ามใช้สูตรแก้สมการในการสอบระดับประถม หรือห้ามใช้อักษรคันจิที่ยังไม่ได้เรียน (แต่ปกติแล้ว “สิ่งที่ได้เรียนรู้มาเต็มร้อย” นั้นมีน้อยมาก โดยเฉพาะในการทํางานมีอีกมากมายหลายอย่างที่เราเรียนรู้ล่วงหน้าไม่ได้ 2.คนเราต้องขจัดโอกาสหลาย ๆ อย่างทิ้งไปเพื่อจะได้ “บรรลุเป้าหมาย” การตั้งเป้าหมายคือการจํากัดความเป็นไปได้ให้แคบลง ตอนไทเกอร์ วูดส์ อายุ 3 ขวบก็ขจัดโอกาสอื่นๆ นอกเหนือจากการเล่นกอล์ฟทิ้งไปหมด เขาถึงไป ได้ไกลขนาดนั้น อย่าไปเชื่อคําพูดที่ว่า “ตัวเรามีโอกาสไม่จํากัด” จริงอยู่ที่เราอาจมีตัวเลือกนับไม่ถ้วน แต่ถ้าไม่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะไปไม่ถึงสักเป้าหมาย 3.ถึงจะมีอำนาจ แต่ถ้าเป็นคนแย่ ๆ ผลก็ออกมาแย่อยู่ดีในทุกๆ การทำงาน คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ “คนที่กล้าเสนอความคิดเห็นเป็นคนแรก” ใคร ๆ ก็อ้าปากวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ “คนที่กล้าเสนอความคิดเห็นเป็นคนแรก” ต้องเป็นคนที่มีความกล้าและต้องพยายามศึกษาข้อมูลมาก่อน เพื่อที่จะได้ไม่ถูกทุกคนล้อเลียน เพราะฉะนั้นในการทำงานเราต้องให้เกียรติคนที่กล้าเสนอความคิดเห็นเป็นคนแรกเสมอ 4.จริง ๆ แล้วมีหลายคนที่แม้พยายามก็ไปไม่ถึงจุดหมาย หรืออาจบอกได้ว่าคนที่พยายามแล้วไม่ได้รับผลตอบแทนมีอยู่มากกว่าเสียด้วยซ้ำ เมื่อมีใครมาพูดแบบนี้ “คนที่ใช้ความพยายาม” ก็อาจจะบอกว่า ความพยายามคือเงื่อนไขขั้นต่ำ แม้ความพยายามอาจไม่ทำให้ประสบความสำเร็จ แต่คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนต่างก็พยายามกันทั้งนั้น ซึ่งหลายคนก็คงเห็นพ้องต้องกันว่าคำพูดนี้ไม่มีพลังพอจะสร้างแรงบันดาลใจได้เลย เพราะในระหว่างที่บอกว่า “ความพยายามเป็นสิ่งสำคัญพวกเขาก็พลิกลิ้นไปด้วยว่า “แต่อาจไม่ประสบความสำเร็จก็ได้นะ”แล้วหยิบยกเงื่อนไขอีกอย่างขึ้นมาว่า “เรื่องนี้เป็นจริงสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จเท่านั้นนะ” ดังนั้นจึงไม่มีผลอะไรเลยสำหรับคนที่คิดว่า “ฉันไม่ได้สนใจเรื่องความสำเร็จสักหน่อย” 5.ทำไมเราถึงยังพยายามทำสิ่งต่าง ๆ กันล่ะ คำตอบก็ง่ายๆ เพราะจริงๆแล้วคนที่มีความพยายามจะ “ทนไม่ได้ถ้าไม่ได้พยายาม” นั่นเอง จริงอยู่ที่การพยายามเป็นเรื่องยากลำบาก ถึงแม้ว่าความพยายามจะเป็นสิ่งที่ขัดกับสัญชาตญาณ แต่เห็นได้ชัดว่า “การใช้ความพยายามจะทำให้เราสบายใจกว่า" นั่นเป็นเพราะมนุษย์ไม่อาจทนอยู่กับ “การไม่ทำอะไรเลย” และ“เวลาที่สูญเปล่า” ได้ ชีวิตมีเรื่องให้กลัดกลุ้มอยู่เสมอ การไม่มีอะไรทำและไม่ได้ทำอะไรก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนเราต้องเผชิญกับความกลัดกลุ้มได้เช่นกัน แม้แต่คนที่เราเห็นว่ามีทั้งเงินทองและได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายทุกอย่าง ท้ายที่สุดแล้วก็ยังต้องต่อสู้กับความกลัวโรคภัยและความตายเหมือนกัน ดังนั้นการจมจ่อมอยู่กับอะไรสักอย่างเพื่อให้จิตใจเกิดความมั่นคงจึงถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการลงมือทำสิ่งต่าง ๆ จนเสร็จสิ้นจะช่วยให้เราไม่ต้องคิดมากนั่นเอง 6. "คุณจะลาออกก็ได้” แปลว่าต้องมีกรณีที่ตรงกับข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ (คุณกําลังทํางานรับใช้หัวหน้าหรือประธานบริษัทที่ไม่ยอมทํางาน (คุณกําลังรองรับความต้องการส่วนตัวของผู้บริหาร คุณกําลังทํางานกับคนไร้มารยาท คุณกําลังทํางานกับคนที่เข้ากันไม่ได้ คุณกําลังทํางานในสถานที่ที่มีแต่การพูดจาไม่ดี (คุณกําลังทํางานในสถานที่ที่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น คุณกําลังทํางานในสถานที่ที่ต้องหลอกลวงลูกค้า คุณกําลังพยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายที่สิ้นคิดเกินไป (คุณกําลังแสร้งว่ายังมีแรงจูงใจในการทํางาน คุณกําลังเดินเร่ขายสินค้าที่ไม่น่าเป็นที่ชื่นชอบเวลาที่ครอบครัวมีปัญหา คุณเลือกจะให้เรื่องงานมาก่อน 7.เคล็ดลับของการสนทนามีอยู่แค่ 2 อย่างเท่านั้น คือ การรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะพูด และจงพูด เฉพาะสิ่งที่อีกฝ่ายอยากฟัง ไม่จําเป็นต้องทําอะไรนอกเหนือจากนี้ หรือก็คือเราไม่จําเป็นต้องพูดหรอก เงียบไว้ก็ได้เหมือนกัน 8.สิ่งสําคัญคือการสร้างสถานการณ์ให้คู่สนทนาอยากพูดเอง โดยที่เราไม่ต้องพูดก็ได้ ดังนั้นเราต้องฟัง “สิ่งที่อีกฝ่ายอยากพูด”ก่อน คนเราต่างก็มีสิ่งที่ตัวเอง อยากอวดหรือสิ่งที่สนใจสักอย่างสองอย่างกันอยู่แล้ว อย่างเช่นการคุยว่า “เป็นคนที่ไหน” “เรื่องความสําเร็จ” หรือ “เรื่องงานอดิเรก” แล้วพออีกฝ่ายเริ่มพูด เราก็คุยตอบด้วย “เรื่องที่เรารู้” แค่นิด ๆ หน่อย ๆ ไปตามเขาก็พอ ไม่จําเป็นต้องพูดเยอะเลย สรุปคือแค่แสดงความคิดเห็นก็พอแล้ว เพราะการเงียบไว้ก็ยังดีกว่าพูดมากเกินไป 9.คนเรามักจะถูกใจคนที่ให้ความสนใจกับสิ่งที่เราชื่นชอบ และการได้พูดคุยเรื่องราวเหล่านั้นกับคนใหม่ๆ ก็จะยิ่งทำให้คุยกันถูกคอมากขึ้นทีเดียว พอเขาบอกอะไรเราแล้วก็ลองไปทำตามดู “ความซื่อตรง” แบบนี้ถือเป็นเคล็ดลับสำคัญในการสื่อสาร รับฟังงานอดิเรกหรือสิ่งที่อีกฝ่ายชื่นชอบเสมอ และเมื่ออีกฝ่ายแนะนําอะไรก็ลองไปทำตามดู 10.โลกความจริงไม่เหมือนองค์กรในละคร คือไม่มีการเกิดเหตุการณ์ที่ลูกน้องล้มล้างหัวหน้าที่ไร้ความสามารถได้หรือคว้าตำแหน่งที่เหนือกว่าได้สำเร็จ ถ้าหัวหน้าไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ลูกน้องก็มีแต่ต้องติดอยู่ข้างหลังหัวหน้าอีกที แม้จะมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าเนื่องจากความผิดพลาดหรือไร้ความสามารถ แต่ก็ใช่ว่าบริษัทจะให้เบอร์รองที่มีความสามารถเข้ามารับช่วงต่อ เพราะคนที่มาจากภายนอกย่อมรับช่วงต่อได้เช่นกัน อีกทั้งหัวหน้าคนใหม่จะยังนํากลุ่มคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถเข้ามาเป็นลูกน้องแทนเราอีกด้วย 11.ดังนั้นสำหรับคนที่เป็นลูกน้องจึงถือว่าไม่มีตัวช่วยอื่นแล้วนอกจากการมีหัวหน้าเก่งๆหรือมีหัวหน้าที่ได้เลื่อนตำแหน่งเร็วๆ พูดง่ายๆ คือ “การที่หัวหน้าของเราได้เลื่อนตำแหน่ง” ถือเป็นปัจจัยชี้ขาดที่จะทำให้เราได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้หัวหน้าของคุณจะใจร้าย ไม่มีใครชอบ หรือไม่ทำอะไรเพื่อลูกน้อง แต่ถ้าเขาไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ตัวเราก็จะไม่ได้เหมือนกัน 12.หากอยากทำทุกอย่างให้ออกมาได้ผลลัพธ์ที่ดี แม้จะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน ก็ยังต้องใช้ความพยายามด้วย อย่างไรก็ตาม เราเลือกได้ว่าจะใช้ความพยายามอย่างไร กล่าวคือ เราจะใช้ความพยายามแบบเหนื่อยยาก หรือจะใช้ความพยายามแบบสบายๆ ถ้าเราใช้ความพยายามแบบเหนื่อยยากก็จะทำได้ไม่นาน ซึ่งจริง ๆ แล้วนั่นไม่ใช่ความพยายาม แต่เป็นแค่ “การอดทนกับความเจ็บปวด” ตั้งแต่แรกต่างหาก แม้บางเรื่องจะฟังดูเรียบง่าย ไม่เห็นต้องเน้นย้ำอะไรให้วุ่นวาย แต่เชื่อเถอะว่ามันช่วยย้ำเตือนความจำในฐานะของคนทำงานประจำได้เป็นอย่างดีเลย จะได้ไม่หลงลืมว่าเรากำลังทำงานอย่างไร ใครคาดหวังเราให้เป็นแบบไหน ? เรากำลังทำงานถูกวิธีหรือเปล่า ? เพื่อจะได้เติบโตก้าวหน้าและอยู่รอดในสังคมที่ทำงานอย่างผาสุก เครดิตภาพ ภาพปก โดย Pixabay จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย Rebrand Cities จาก pexels.com ภาพที่ 4 โดย Andrea Piacquadio จาก pexels.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ กลยุทธ์คุมเกมเปลี่ยนชีวิต รีวิวหนังสือ BUSINESS PROBLEM-SOLVING AND STRATEGY รีวิวหนังสือ How to Make Work not Suck เมื่อเส้นทางการทำงานโรยไปด้วยเปลือกทุเรียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !