‘กรมทางหลวง’ ลุย 6 เส้นทาง ช่วยฟื้นศก. ดันเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ 3 เท่า

เมื่อเวลา 12.10 น. วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวในช่วงเสวนาเรื่อง การลงทุน 2020 ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างชาติ สร้างงาน ในงานสัมมนา ลงทุน 2020 ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างชาติ สร้างงาน ที่ห้องอินฟินิตี้ 1-2 โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ รางน้ำ ที่จัดขึ้นโดยเครือมติชน ว่า ส่วนของภาครัฐโดยกรมทางหลวงชนบทอยากให้ความมั่นใจว่า กรมทางหลวงมีงบการลงทุน ปีละประมาณ 100,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการมากกว่า 5,000 โครงการต่อปี ซึ่งเป็นการลงทุนด้านการวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ตั้งแต่โครงการมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท ถึง 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่มีระยะเวลาในการดำเนินโครงการ 1 ปี และโครงการที่ทำต่อเนื่อง ใน งบประมาณผูกพันใหม่ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่โดยใช้เวลาในการก่อสร้างไม่เกิน 3 ปี โดยปีแรกสำนักงบประมาณจะให้งบประมาณ 20%
ทั้งนี้ ข้อดีขอกรมทางหลวง คือเป็นหน่วยงานสร้างถนนของทางราชการ ซึ่งทั้งกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท มีเส้นทางสายหลัก รวม 100,000-120,000 กิโลเมตร จากเส้นทางทั่วประเทศประมาณ 400,000 กิโลเมตร แต่ปริมาณการเดินทางใน 120,000 กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่มากกว่าการดำเนินงานของหน่วยงานอื่นถึง 10 เท่า ฉะนั้น ข้อดีของทั้ง 2 หน่วยงานคือ จากการทำงานที่ผ่านมาสามารถแล้วเสร็จและเห็นเป็นรูปธรรม มีการกระจายงานไปในส่วนต่างๆ ทั้งส่วนของการทำเอง แต่มีค่อนข้างน้อย ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุใดจึงสามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่งานส่วนใหญกว่า 90% เป็นส่วนการจ้างเหมา ซึ่งก็มีการประกวดราคาตามระเบียบ มีความโปร่งใส ซึ่งกระทรวงคมนาคมเน้นย้ำเป็นพิเศษ ต้องโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
สำหรับส่วนการจ้างเหมา ไม่ได้อยู่แค่บริษัทที่เข้ามาจ้างเหมา แต่ห่วงโซ่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง เพราะมีการซื้อวัสดุอุปกรณ์จากผู้ประกอบการด้านอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบหลายรอบ แค่ช่วงแรกของการทำงานจะหมุนไปไม่ต่ำกว่า 3-4 รอบ หรือคิดเป็น 3 เท่า ของมูลค่าการลงทุนที่ลงทุนไปทั้งหมด
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า งานของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท จะเห็นเป็นรูปธรรมจากการใช้งานของประชาชน และการซ่อมบำรุงซึ่งจะเป็นในส่วนของถนนเส้นเดินเห็นอย่างต่อเนื่อง ต้องแล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนด และผลงานที่เกิดขึ้นเกิดจากความร่วมมือกับเอกชนที่เข้ามาทำงานร่วมกัน ซึ่งเราเป็นเจ้าของงาน การควบคุมงานก็เป็นของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท แม้จะมีข่าวบ้างว่า ทำถนนแล้วเสียเร็ว แต่ขอยืนยันว่าเป็นส่วนน้อยมาก เนื่องจากภาวะการจำกัดในการทำงานที่ฝนอาจจะตก หรือเกิดความผิดพลาดได้บ้าง แต่เป็นส่วนน้อยมาก นับเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ถึง 1% และขอยืนยันว่ากับผู้ที่มีส่วนร่วมกับทุกคนจะดำเนินการให้เกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากงบประมาณมีอยู่อย่างจำกัด และมีภาระในการใช้งาน โครงการขนาดใหญ่ของกรมทางหลวงที่จะดำเนินการในอนาคต มูลค่า 20,000 ล้านบาทขึ้นไป ถึง 100,000 ล้านบาท จะเป็นรูปแบบการร่วมการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (พีพีพี)
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีโครงการขนาดใหญ่ที่พร้อมดำเนินการ โดยเส้นทางที่อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมนำเสนอขออนุมัติโครงการ (แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2562-70) รวมวงเงินลงทุน ซึ่งเส้นทางที่อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมนำเสนอขออนุมัติโครงการ จำนวน 297,313 ล้านบาท ได้แก่ 1.สายนครปฐม-ชะอำ วงเงินลงทุน 79,006 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่ระหว่างการเสนอขออนุมัติโครงการ แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2565-68 2.สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว วงเงินลงทุน 32,187 ล้านบาท ได้แก่ ช่วงบางขุนเทียน-เอกชัย ดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2563-65 และช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2564-66 3.ส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต-บางปะอิน วงเงินลงทุน 28,000 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบเอกชนร่วมลงทุน (พีพีพี) แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2565-68
4.สายหาดใหญ่-ชายแดนไทย/มาเลเซีย วงเงินลงทุน 42,620 ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบการร่วมลงทุนที่เหมาะสม แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2567-70 5.สายวงแหวนรอบนอก กทม. ด้านตะวันตก วงเงินลงทุน 78,000 ล้านบาท ได้แก่ ช่วงบางขุนเทียน-บางบัวทอง อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบเอกชนร่วมลงทุน (พีพีพี) และช่วงบางบัวทอง-บางปะอิน แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2566-68 และ 6.สายศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ วงเงินลงทุน 37,500 ล้านบาท อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบพีพีพี แผนดำเนินงานก่อสร้าง ปี 2565-68
โดยอยู่ระหว่างการเสนอกระทรวงคมนาคม และเสนอรัฐบาล ดูว่าโครงการใดที่มีความคุ้มค่าและมีความพร้อมที่จะดำเนินการ ซึ่งทั้ง 6 เส้นทาง จากทั้งหมด 21 เส้นทาง กว่า 2,000 กิโลเมตร คิดเป็นไม่ถึง 5% จากทั่วประเทศที่ต้องมีมอเตอร์เวย์ตามแผนที่วางไว้ ฉะนั้น ภาคเอกชนสบายใจได้จะมีงานที่ต้องทำอีกเยอะ รวมเป็นมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการประเมินเมื่อ 3 ปีก่อน ปัจจุบันอาจจมีมูลค่าอาจเพิ่มขึ้น