หุ้นยุโรปเดินหน้าQEต่อ KTAM เลือกน่าสนใจสุด
ทันหุ้น-KTAM ยกหุ้นยุโรปน่าลงทุนสุดสำหรับช่วงที่เหลือของปี ตามมาด้วย ญี่ปุ่น เพราะ 2ประเทศนี้ยังคงนโยบาย QEกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนสหรัฐมีติดพอร์ตได้ แต่ระวังการปรับฐานแรงหลังขึ้นมามาก ขณะที่จีนปรับฐานแรงก็เป็นโอกาสลงทุนได้หากใครชอบ ส่วนเอเชียรวมถึงไทยหากคุมโควิด-19อยู่หมัดอาจได้สัมผัสบรรยากาศดีๆ แบบหุ้นจีน-สหรัฐ-ยุโรป
นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ CFP®, รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน ธุรกิจเครือข่ายธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM มีมุมมองต่อภาพการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2564 ว่า หุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจนำโดยกลุ่มประเทศที่พัฒนา (Developed Market: DM) ทั้งสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศยุโรป
แม้นักวิเคราะห์เริ่มมองเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงสะท้อนจากการลดวงเงินอัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจ(QE Tapering) แต่ไม่ได้เป็นภาพของเศรษฐกิจขาลง และ GDP ยังคงเติบโตเป็นบวก อย่างไรก็ตามราคาหุ้นของสหรัฐขึ้นไปค่อนข้างมากแล้ว การลงทุนในช่วงที่เหลือยังคงต้องระวังการปรับฐานจากเรื่องของการทำQE Taperingที่คาดกันว่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปีนี้
“เราให้น้ำหนักในกลุ่มประเทศที่ยังคงนโยบายQE มากกว่า อย่างยุโรป และ ญี่ปุ่น โดยให้น้ำหนักทางยุโรปค่อนข้างมาก เพราะมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์โลกอย่างกลุ่มธุรกิจดิจิทัลเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมาตรการสนับสนุนกระตุ้นเศรษฐกิจด้านสังคมดิจิทัล และด้านสิ่งแวดล้อมของยุโรปในระยะยาวที่มีมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านยูโร ยังเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ต่อเนื่องในระยะยาว”
นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) ซึ่งโฟกัสที่เอเชียเป็นหลักว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่น่าสนใจเข้าลงทุน แม้ปีนี้ตลาดหุ้นจะปรับฐานลงมาแรงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่สร้างผลตอบแทนดีให้กีบนักลงทุน แต่การปรับฐานที่มาจากการจัดระเบียบจะทำให้โครงสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจแข็งแกร่งในระยะยาว ดังนั้นการเข้าลงทุนในจังหวะที่ปรับฐานมากๆก็เป็นโอกาสได้เช่นกัน
มุมมองการลงทุนในเอเชียยังน่าสนใจในประเด็นเรื่องความสามารถในการจัดการโควิด-19 นายวิโรจน์เชื่อว่า ด้วยศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ หากสามารถกระจายวัคซีนได้มาก และควบคุมการแพร่ระบาดได้เหมือนกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว อาจเห็นเม็ดเงินลงทุนเข้ามาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นใน จีน สหรัฐ และยุโรป เช่นเดียวกันตลาดหุ้นไทยก็อาจได้รับอานิสงส์จากการจัดการโควิด-19 ของเอเชียที่ดีขึ้น
นายวิโรจน์ กล่าวว่า แต่การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งหากสามารถบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ จะทำให้นักลงทุนกลับมาสนใจ จากการที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าได้ตามปกติ ส่งผลบวกต่อผู้ประกอบการในการทำรายได้กำไรเติบโตขึ้น อย่างไรก็ตามก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นสะดุดตาที่สุด
ประเด็นที่น่าจับตาคือหลังบริหารจัดการโควิด-19 ได้แล้ว จะออกมากตราการกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรบ้าง และเดินหน้าขับเคลื่อนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเพื่อสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว นอกจากนนี้ยังต้องจับตาแรงงานหลังวิกฤติโควิด-19 จะกลับเข้ามาสู่ระบบได้ทันกับความต้องการของผู้ประกอบการหรือไม่ เพราะมีผลต่อการเดินหน้าของภาคธุรกิจเช่นกัน