รีเซต

ลูกร้องรพ.ดังรักษาแม่ป่วยโควิด กลับบ้านมาพบรอยช้ำทั่วตัว หวาดผวา-เพ้อตลอดเวลา

ลูกร้องรพ.ดังรักษาแม่ป่วยโควิด กลับบ้านมาพบรอยช้ำทั่วตัว หวาดผวา-เพ้อตลอดเวลา
ข่าวสด
22 กุมภาพันธ์ 2565 ( 10:54 )
29
ลูกร้องรพ.ดังรักษาแม่ป่วยโควิด กลับบ้านมาพบรอยช้ำทั่วตัว หวาดผวา-เพ้อตลอดเวลา

ครอบครัวร้องสื่อ แม่รักษาโควิดที่รพ. กลับมาพบแผลฟกช้ำทั่วตัว มีรอยเล็บจิก หวาดผวา-เพ้อตลอดเวลา จนต้องแจ้งความพาตัวกลับบ้าน เตรียมร้องหน่วยงานตรวจสอบ

 

เมื่อวันที่ 22 ก.พ.65 ที่บ้านหลังหนึ่งใน ต.โคกหล่อ อ.เมืองตรัง จ.ตรัง นางนฤทัย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี พร้อมด้วย นายอนันต์วิทย์ น้องชาย อายุ 47 ปี อาชีพรับราชการ ร้องเรียนสื่อมวลชน หลังจากแม่วัย 73 ปี เข้ารักษาตัวเนื่องจากติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 8-18 ก.พ.65 ที่ผ่านมา

 

 

ซึ่งเมื่อลูกๆ ติดต่อขอรับตัวแม่ออกจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบว่าร่างกายของแม่มีรอยฟกซ้ำดำเขียว บริเวณแขน ข้อมือทั้ง 2 ข้าง หลังมือมีรอยเขียวช้ำ และรอยเล็บจิก บริเวณใต้รักแร้ และรอยจ้ำเลือดที่ปลายนิ้วมือ

 

 

รวมทั้งแม่มีอาการหวาดผวาและมีอาการเพ้อ นอกจากนั้น วันแรกที่รับตัวมาแม่มีอาการแขนขาอ่อนแรง จนไม่สามารถเดินเหินได้อย่างเคย และเมื่อลูกๆ เข้ามาประคองลำตัว หรือจับบริเวณร่างกาย จะไม่ให้จับและร้องบอกกับลูกๆ ว่าเจ็บทั้งตัว เมื่อลูกสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ซึ่งยังมีอาการหลงๆ ลืมๆ และยังมีอาการเบลอจากฤทธิ์ยา บอกว่า ถูกพยาบาลร่างอ้วนกระทำรุนแรงกับตน มีการสอดท่อเข้าในช่องปาก ใช้ท่อแหย่จมูกจนเลือดออก

 

นางนฤทัย กล่าวว่า ครอบครัวติดโควิดทั้งหมด 9 คน เป็นผู้ใหญ่ 6 คน และเด็กเล็ก 3 คน แต่ละคนแยกรักษาตัวที่โรงพยาบาลและบ้าน ส่วนตนรักษาตัวที่ศูนย์กักตัวชุมชนตำบลโคกหล่อ

 

ขณะที่แม่ เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพียงลำพัง โดยแม่เข้ารักษาตัวเมื่อวันที่ 8 ก.พ.65 ตอนไปโรงพยาบาลแม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทานอาหารได้ด้วยตัวเอง แต่ก็มีอาการหลงๆลืมๆ บ้างตามประสาคนแก่

 

ต่อมาตนทราบจากเพื่อนบ้านที่รักษาตัวในโรงพยาบาล ทราบว่าแม่อาการไม่ดี ลูกๆ ก็รู้สึกกังวลใจ จึงโทรไปสอบถามอาการแม่ที่โรงพยาบาล แต่พยาบาลที่รับโทรศัพท์ไม่ได้ตอบคำถามอะไรให้ตนรู้สึกกระจ่างชัด แถมถามกลับหาตนในทำนองยอกย้อน และไม่พอใจที่พวกตนพยายามโทรสอบถามอาการแม่

ขณะที่เมื่อน้องชายโทรถาม ได้รับคำตอบและคำถามกลับมาว่า หากหมอจะทำอย่างนั้นอย่างนี้กับแม่ ญาติจะว่าอย่างไร และร้องหาผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ทำให้พวกตนไม่สบายใจมาก นอนไม่หลับ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับแม่ ยกเว้นได้รับแจ้งว่า แม่อาการปอดติดเชื้อ แต่อาการทั่วไป แม่ปกติทุกอย่าง ช่วยเหลือตัวเองได้

โดยเพื่อนแนะนำให้ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองตรัง เพื่อนำตัวแม่กลับมา โดยให้เหตุผลว่าแม่อาการไม่ดีขึ้น และทรุดลงเรื่อยๆ จึงคิดว่าอาจจะเกิดการรักษาผิดวิธี หรือเกิดจากความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงาน หรืออาจดูแลไม่ทั่วถึง

โดยตนไปแจ้งความและไปรับแม่ในวันที่ 18 ก.พ. 65 โดยหมอนัดคุยเกี่ยวกับอาการของแม่ เวลา 15.00 น ของวันนั้น โดยระบุในรายงานว่า แม่โดนมัดมือมัดเท้า ให้ยานอนแม่หลับ การกระทำดังกล่าวทางโรงพยาบาลไม่ได้แจ้งญาติก่อน ติดต่อขอรับแม่มารักษาตัวที่บ้านกับลูกๆ หรือขอย้าย รพ.ก็ไม่ได้

โดยรายงานบอกว่ามัดมือ เท้า ของแม่เวลา 22.00 น. ของวันที่ 14 ก.พ. จากนั้นวันที่ 15 ก.พ. ค่าเบาหวานของแม่พุ่งสูงถึง 800 กว่า ทั้งหมดนี้ทำให้ครอบครัวติดใจ เพราะครอบครัวไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกับแม่บ้าง สอดสายอะไรบ้าง ที่คุณหมอบอกมีแค่ให้ออกซิเจน น้ำเกลือ อาหารทางสาย

“วันที่ไปรับตัวแม่ครบกำหนดรักษา 10 วัน พอดีคุณหมอพยายามพูดไกล่เกลี่ยให้คุณแม่รักษาต่อในโรงพยาบาล ด้วยให้เหตุผลว่า แม่ปอดติดเชื้อ ไตมีปัญหา เบาหวาน จะต้องรักษาต่อให้ครบ 21 วัน ถ้าไม่รับการรักษาในโรงพยาบาลจะทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน แต่ดิฉันยืนยันกระต่ายขาเดียวว่า จะเอาตัวแม่กลับ จึงเซ็นรับทราบข้อมูล เพื่อจะขอเอาแม่มาดูแลที่บ้าน” นางนฤทัย กล่าว

นางนฤทัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ขณะรับตัวแม่ที่ รพ.พบว่าแม่มีอาการทุรนทุราย เหมือนสุนัขถูกทุบหัว และแม่เพ้อตลอดเวลา หมอให้ซื้อถังออกซิเจนให้แม่ โดยบอกว่าถ้าไม่มีถังออกซิเจนจะทำให้แม่เสียชีวิตได้ แต่เวลา 2 ทุ่มแล้ว ตนไม่รู้จะซื้อถังออกซิเจนจากที่ไหน

กลับมาถึงบ้านก็พบเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวทั่วตัว ทั้งใต้รักแร้ แขนทั้งสองข้าง มือทั้ง 2 ข้าง หลังจากมาอยู่บ้านได้ 2 วัน อาการของแม่ดีขึ้นมาก แม่เริ่มจำได้ นั่งทรงตัวได้ สดชื่นขึ้นมาก และจะนึกเหตุการณ์ที่ รพ.ได้ขึ้นมาเป็นครั้งคราวว่า โดนทำจนเจ็บ โดนแยงจมูกและปาก มีโดนมัด

หลังจากนี้ตนจะไปร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ และจะขอดูภาพวงจรปิดขณะที่แม่รักษาตัวด้วย เพื่อดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับแม่ และผู้ป่วยคนอื่นๆ หลายคนที่คิดว่าถูกกระทำเหมือนกัน พร้อมกับจะนำยาที่ให้มากินตอนที่รับตัวแม่คืนรพ. เพราะไม่ได้ให้กิน แม่ก็ดีขึ้นตามลำดับ

ด้าน นายอนันต์วิทย์ ลูกชาย กล่าวว่า ตนคิดว่าการรักษาผู้ป่วยโควิดซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ที่รักษาตัวครบ 10 วัน และไม่พบเชื้อแล้ว ควรให้เขาแยกห้องแยกตึกออกไป ไม่ใช่นำมานอนรวมกับผู้ป่วยทั้งหมดทั้งที่มีเชื้ออยู่ และไม่มีเชื้อแล้วให้อยู่รวมกัน โดยให้เหตุผลว่าเจ้าหน้าที่ พยาบาล มีไม่ทั่วถึง

“ในเมื่อญาติติดต่อไปทุกวันว่า ขอรับแม่กลับบ้าน เพื่อมาดูแลต่อ ทำไมไม่ให้กลับบ้าน หรืออนุญาตให้ลูก ซึ่งมีอาการป่วยเหมือนกัน เข้าไปรักษาตัวอยู่ด้วยกัน จะได้ช่วยแพทย์ พยาบาลดูแล ผมอยากให้โรงพยาบาลดูแลตรงนี้ด้วย ให้ดูของจริง ไม่ใช่ดูแค่รายงานที่เป็นกระดาษ วันที่ผมไปรับตัวแม่ หมอแค่อธิบายตามรายงาน แต่ไม่รู้เลยว่าสภาพจริงของแม่ที่นอนอยู่บนเพียงในหอผู้ป่วยเป็นอย่างไร โดยสภาพที่รายงาน กับสภาพของแม่ผมกลับบ้าน อยู่ในสภาพที่แตกต่างกันเลย” นายอนันต์วิทย์ กล่าว

นายอนันต์วิทย์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่รับแม่มาอยู่บ้านตั้งแต่วันที่ 19 -21 ก.พ. อาการแม่เริ่มเปลี่ยนดีขึ้นมากตามลำดับ จากที่วันแรกรับตัวมาบ้าน แม่ไม่กล้าอ้าปาก น่าจะผวาจากการถูกสอดสายในคอ มีอาการหวาดกลัว และบอกว่าเจ็บ จับตรงไหนของร่างกายก็บอกว่าเจ็บ และพูดเพ้อไปเรื่อย เพราะแม่บอกว่าพยาบาลคนอ้วน ทำรุนแรงมาก และมีบางคนที่เสียชีวิต ทำให้แม่ฝังใจว่า พยาบาลคนอ้วนทำโต๊ะข้างๆ ตายเลย

และมีคำบอกเล่าจากญาติคนไข้โควิดที่ต้นสมอ-พรุชี ที่เสียชีวิตว่า ตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำเหมือนกับแม่ของตน ตนคิดว่าน่าจะถูกกระทำแบบเดียวกัน ฝากถึงโรงพยาบาลให้เห็นค่าของคนป่วย เพราะคือหนึ่งชีวิตเหมือนกัน และข้ออ้างที่บอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอนั่นไม่ใช่เหตุผล

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง