รีเซต

ชาวโนนศิลาลุกฮือ แจ้งจับกรรมการกองทุนหมู่บ้าน ยักยอกเงินกว่า 1 ล้านบาท

ชาวโนนศิลาลุกฮือ แจ้งจับกรรมการกองทุนหมู่บ้าน ยักยอกเงินกว่า 1 ล้านบาท
ข่าวสด
3 กุมภาพันธ์ 2565 ( 23:55 )
48
ชาวโนนศิลาลุกฮือ แจ้งจับกรรมการกองทุนหมู่บ้าน ยักยอกเงินกว่า 1 ล้านบาท

ชาวโนนศิลาลุกฮือ แจ้งจับกรรมการกองทุนหมู่บ้าน ยักยอกเงินกว่า 1 ล้านบาท ไม่ยอมจ่ายหนี้ให้ธนาคาร อ้างจะรับผิดชอบเงินที่หายไป

 

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 3 ก.พ. 2565 ที่ สภ.โนนศิลา อ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น นายภัลลพ สุ่ยหล้า อายุ 64 ปี ประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้าน บ้านหนองน้ำขุ่นเหนือ ม.16 ต.บ้านหัน อ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น พร้อมนางมริน แปน้อย อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68 ม.18 บ้านหนองน้ำขุ่นเหนือ ม.16 ต.บ้านหัน อ.โนนศิลา จ.ขอนแก่น และคณะกรรมการกองทุนบ้านหนองน้ำขุ่นเหนือ ม.16 รวมถึงสมาชิกอีกกว่า 10 ราย นำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของคณะกรรมการฯ

 

 

เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.สมศักดิ์ เย็นเหลือ สว.(สอบสวน) สภ.โนนศิลา เพื่อให้ทำการสืบสวนสอบสวนกรรมการและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการกองทุนเงินล้านของหมู่บ้านที่หายไปกว่า 1 ล้านบาทและดอกเบี้ยที่ไม่นำส่งธนาคารมาคืน โดยขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

 

นายภัลลพ สุ่ยหล้า อายุ 64 ปี ประธานกรรมการกองทุน บ้านหนองน้ำขุ่นเหนือ ม.16 กล่าวว่า กองทุนเงินล้านของหมู่บ้าน เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2555 โดยแยกเป็นกองทุนแรก 2 ล้านบาท มีสมาชิกจำนวน 64 ราย ต่อมามีกองทุนที่ 2 จำนวน 1 ล้าน มีสมาชิกจำนวน 72 คน มีคณะกรรมการกองทุนละ 13 คน เป็นผู้ดำเนินการเก็บเงินจากสมาชิกไปส่งคืนที่ ธกส.ปีละ 1 ครั้ง

 

โดยแต่ละกองทุนจะมีสมาชิกยืมเงินไป แต่ยืมไปในจำนวนที่ไม่เท่ากัน โดยกองทุนเงิน 2 ล้านบาทนั้น ธกส.เก็บดอกเบี้ยร้อยละ 5 บาท แต่ทางคณะกรรมการเรียกเก็บกับสมาชิก ร้อยละ 8 บาท ซึ่งสมาชิกไม่ขัดข้อง เนื่องจากเงินส่วนเกินจะนำมาใช้พัฒนาหมู่บ้านชุมชน และช่วยเหลือสังคม

 

"ส่วนกองทุนเงิน 1 ล้านบาทนั้นปลอดดอกเบี้ยมา 2 ปี พอปีที่ 3 เรียกเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 8 บาท ต่อมาในปี 2562 คณะกรรมการแจ้งว่า จะเก็บดอกเบี้ยจากสมาชิกทั้งสองกองทุนรวมกันเป็นร้อยละ 8 บาท สมาชิกก็ยินยอม ต่อมาในปี 2563 กรรมการขอเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 9.50 บาทต่อปี และในปี 2564 ขอเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 13 บาท"

 

"สมาชิกมีการทักท้วงและเป็นช่วงที่รับแจ้งจาก ธกส.ว่า ในปี 2563 ทางกองทุนฯ ไม่ได้นำส่งดอกเบี้ยกับธนาคารเลย สมาชิกและประธานกองทุนฯ จึงตรวจสอบกับเหรัญญิกและเลขานุการกองทุนฯ ว่าทำไมไม่ส่งเงินให้ธนาคารพร้อมกับทำการตรวจสอบกับธกส. ซึ่งทั้งเหรัญญิกและเลขานุการต่างตอบว่าติดธุระ จึงไม่ได้นำส่งและมีคนยืมเงินไปต่อแล้ว พร้อมรับปากว่าจะเอาเงินส่งให้ธนาคารเอง"

 

นายภัลลพ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันได้ตรวจสอบกับ ธกส. จนพบว่าตัวเลขในเอกสารใบจัดสรรชำระหนี้มีตัวเลขที่ไม่ตรงกัน โดยเอกสารที่ทางคณะกรรมการกองทุนให้กับสมาชิก ปรากฏในข้อมูลเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2564 กองทุน 1 ล้าน ไม่มีดอกเบี้ยและไม่มีเงินต้นค้าง แต่เมื่อตรวจสอบกับ ธกส.โดยตรงปรากฏตามเอกสารข้อมูลเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2564 มียอดดอกเบี้ย 37,066.48 บาท เท่ากับว่าเงินต้นยังคงอยู่ และมีดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาอีก รวมเป็น 1,036,834 .83 บาท ส่วนกองทุนเงิน 2 ล้านบาท เงินต้นยังอยู่และไม่ลดจำนวนลง ทั้งที่สมาชิกจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยให้ทุกปี

 

ด้านนางมริน แปน้อย อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68 ม.18 บ้านหนองน้ำขุ่นเหนือ และเป็นสมาชิกกองทุนเงินล้านของหมู่บ้าน กล่าวว่า มีความผิดปกติตั้งแต่ปี 2563 และปี 2564 เพราะกรรมการขอเก็บดอกเบี้ยเพิ่ม สมาชิกมีการท้วงติงเพราะดอกเบี้ยแพง ซึ่งคณะกรรมการกองทุนแจ้งว่า ธนาคารเรียกเก็บแพง จึงจำเป็นต้องเก็บดอกเบี้ยกดับสมาชิกแพงขึ้น สมาชิกจึงยังไม่จ่ายดอกเบี้ยให้ในปี 2563 แต่ขณะนั้นสมาชิกยังไม่เอะใจว่าเงินล้านหาย แต่มีสมาชิกบางคนที่ใช้หนี้เงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยครบ แต่ยังมีชื่อในบัญชีลูกหนี้ของกองทุนเงินล้าน

 

นางมริน กล่าวต่อว่า เมื่อสอบถามกับคณะกรรมการกองทุนได้รับคำตอบว่าไม่มีปัญหา กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อของ ธกส.แจ้งมาว่า ปี 2563 คณะกรรมการกองทุนเงินบ้านไม่ส่งเงินเข้าธนาคาร สมาชิกกองทุนเงินล้านของหมู่บ้านจำนวน 136 ราย จึงมีการตรวจสอบที่ธนาคาร แจ้งว่าธนาคารเรียกเก็บดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำหนด แต่กองทุนไม่ได้ส่งให้ธนาคารตามกำหนด จึงขอเอกสารกับทางธนาคาร เพื่อนำมาพูดคุยกับทางคณะกรรมการกองทุน โดยเฉพาะเหรัญญิกกับเลขานุการ ซึ่งเหรัญญิกกับเลขานุการแจ้งว่า ได้เก็บเงินจากสมาชิกจริง แต่ไม่ได้ส่งให้ธนาคาร และจะขอรับผิดชอบเงินที่หายไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง