เซเลนสกีกล่าวหารัสเซีย ฆ่าคนสนองความพอใจ ย้ำคดีต้องขึ้นศาลระหว่างประเทศ
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) กล่าวหารัสเซียว่าได้กระทำการอันเป็นอาชญากรรมสงครามที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยูเครน
เซเลนสกีกล่าวว่า ทหารรัสเซียได้สังหารและทรมานผู้คนในเมืองบูชาเพียงเพื่อความเพลินเพลิน และยังได้กล่าวถึงความโหดร้ายที่เขาอ้างว่ากองกำลังรัสเซียได้กระทำในระหว่างการรุกราน การสังหารหมู่ในบูชาเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่รัสเซียทำในช่วง 41 วันที่ผ่านมา
“ไม่มีอาชญากรรมใดที่พวกเขาไม่ได้ก่อขึ้น ผู้คนถูกยิงที่ถนน ในบ้านของพวกเขา ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำ และถูกรถถังทับกลางถนน เพียงเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินของทหารรัสเซีย”เซเลนสกีกล่าว
ผู้นำยูเครนกล่าวว่า การกระทำของทหารรัสเซียไม่ต่างจากกลุ่มก่อการร้ายอย่างกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย พยายามที่จะส่งออกความเกลียดชังของเขาไปยังประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากยูเครน
เซเลนสกียังถามว่า สันติภาพอยู่ที่ไหน การค้ำประกันที่สหประชาชาติจำเป็นต้องให้การรับประกันอยู่ที่ไหน และว่าโลกยังไม่เห็นอาชญากรรมสงครามที่กองทัพรัสเซียอาจจะก่อขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ของยูเครน นอกเหนือจากในบูชา
“พื้นที่อาจแตกต่างกัน แต่ความโหดร้ายนั้นเหมือนกัน เป็นอาชญากรรมเหมือนกัน และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้”เซเลนสกีกล่าว พร้อมกับเรียกร้องให้รัสเซียรับผิดชอบ และควรถูกนำตัวขึ้นศาลระหว่างประเทศที่คล้ายกับที่จัดขึ้นที่เมืองนูเรมเบิร์กหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เซเลนสกียังตั้งคำถามถึงบทบาทของรัสเซียในยูเอ็น และว่าการบุกรุกยูเครนได้ย่อนทำลายสถาปัตยกรรมด้านความมั่นคงของโลกลง พร้อมกับเรียกร้องให้คณะมนตรีโยนรัสเซียออกจากการเป็นสมาชิกของยูเอ็นเอสซี
“หากยูเอ็นเอสซีไม่สามารถที่จะหาทางช่วยหยุดการกระทำของรัสเซียในยูเครนได้ เอสซีก็ควรสลายตัวไป เพราะมันพิสูจน์ว่าพวกคุณทำอะไรไม่ได้นอกจากคุยกัน”เซเลนสกีกล่าว
จากนั้นเซเลนสกีได้เปิดวิดีโอเพื่อฉายภาพสิ่งที่เขากล่าวหาว่าเป็นการกระทำอันเป็นอาชญากรรมสงครามของรัสเซียในบูชา
ด้านนายวาซิลี เนเบซยา เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำยูเอ็น ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าทหารรัสเซียได้กระทำการอันเป็นอาชญากรรมสงครามในบูชา โดยเขาโต้แย้งว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่สอดคล้องกันอย่างชัดเจนในเนื้อหาที่นำเสนอโดยสื่อตะวันตกและสื่อยูเครน อีกทั้งสภาพศพที่พบไม่เหมือนกับศพที่อาจนอนอยู่บนท้องถนนเป็นเวลา 3 หรือ 4 วัน