เข้าสู่เดือนส่งท้ายครึ่งปีแรก 2020 อันร้อนแรงกันเสียที ซึ่งมิถุนายนนี้เองก็เห็นทีจะไม่น้อยหน้าเดือนก่อน ๆ สักเท่าไหร่ เปิดตัวมาด้วยความวุ่นวายหลังการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์จากฝีมือของตำรวจผิวขาว ที่ลุกลามกลายเป็นเหตุจลาจลขนาดใหญ่ในหลาย ๆ พื้นที่ของสหรัฐอเมริกาอย่างรวดเร็ว จากความเจ็บปวดในอดีตที่หยั่งรากลึกในสังคม ประกอบกับท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ผู้เป็นประธานาธิบดียังแข็งกร้าวกับกลุ่มผู้ชุมนุม มีการสั่งการใช้กำลังตำรวจและทหารเข้าระงับเหตุ แต่สิ่งที่ได้มากลับเป็นความโกรธแค้นและเหตุการณความรุนแรงทีมีแต่จะขยายตัวมากขึ้น แต่ภายใต้ความวุ่นวาย ความรุนแรง และประเด็นด้านความเท่าเทียมที่แทบจะทุกสายตาบนโลกกำลังให้ความสนใจ ความจริงหนึ่งที่เราน่าจะยังจำกันได้ดีคือ อเมริกายังคงเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ปัจจุบันมียอดผู้ยืนยันว่าติดเชื้อแล้วเกือบ ๆ 2 ล้านคนเข้าไปแล้ว (1,847,729 คน ณ วันที่ 2/06/2020 :วิกิพีเดีย) และเราต่างก็ทราบกันดีว่า COVID-19 สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายมากเมื่อสังคมมีการรวมตัวกัน ที่ผ่านมาจึงได้มีความพยายามจำกัดการเคลื่อนไหว รวมกลุ่มกันผ่านมาตรการ social distancing อย่างเคร่งครัดกันมาโดยตลอดเพื่อหวังให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดน้อยลง แต่จากเหตุการณ์ชุมนุมและการปะทะกันดังกล่าว ทำให้มาตรการควบคุมที่ผ่าน ๆ มาถูกละเลยไปเรียบร้อย แม้เราจะเห็นผู้ชุมนุมใส่หน้ากากกันอยู่ แต่การรวมตัวขนาดใหญ่ที่กำลังขยายวงกว้างเช่นนี้ก็ดูจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้ทั้งหมด ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าผลของการเคลื่อนไหวทางสังคมอันร้อนแรงนี้จะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม ผลที่ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดอย่งไม่ตั้งใจอย่างจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 หลังจากนี้เองก็คงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสนใจและจับตามมองต่อไปควบคู่กันด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็นประเด็นใดก็ต่างส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ความเป็นไปของสหรัฐอเมริกาได้กันทั้งคู่ รวมถึงอาจจะกระทบต่อสถานการณ์โลกได้ด้วย ซึ่งจะเป็นไปในทิศทางใดนั้นแม้จะไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแน่ชัดนัก แต่หากอ้างอิงจากการเปิดเมืองของประเทศอื่น ๆ ก่อนมีวัคซีน “เวฟ 2” ของการระบาดในอเมริกาดูแล้วก็น่าจะเป็นไปได้ไม่ยากเลย ภาพโดย StockSnap จาก Pixabay ภาพโดย StockSnap จาก Pixabay ภาพโดย Наркологическая Клиника จาก Pixabay ภาพโดย lisa runnels จาก Pixabay