สวัสดีผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านด้วยนะครับ ผม Kakommz วันนี้ผมก็มีหนังสือดีดีที่เมื่อผมได้อ่านแล้วจึงอยากบอกต่อกับทุกคนอีกเช่นเคย โดยหนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "THE LOST SKILL ทักษะที่หายไปในศตวรรษที่ 21" ผู้เขียนคือ ศาสตราจารย์ ดร.นภดล ร่มโพธิ์ เจ้าของเพจ Nopadol's Story และเจ้าของเพจอีกหลายช่องทางในชื่อเดียวกันต้องขออนุญาตเกริ่นก่อนว่า หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ทุกคนกลับมาทบทวนตัวเองครับว่า ในศตวรรษที่ 21 ที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุค Digital อย่างเต็มรูปแบบ และเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนนั้น ทำให้หลายคนอาจคิดว่า ทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในยุคนี้ อาจเป็นการศึกษาระบบเงิน Cryptocurrency การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Metaverse (จักรวาลนฤมิต) การศึกษาเกี่ยวกับ AI (Artificial Intelligence) ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับ Digital แต่สิ่งที่หลายคนกำลังลืมไปคือการพัฒนาทักษะพื้นฐานที่สุดที่พวกเรายัง (ต้อง) ใช้อยู่ ถึงแม้จะอยู่ในยุค Digital นี้ก็ตามคือ การอ่าน การเขียน และการเรียนรู้ครับเพราะทักษะพื้นฐานที่กล่าวไปข้างต้นเหล่านี้ คือสิ่งที่จะพัฒนาทุกคนไปได้ไกลที่สุด ถึงแม้ว่าจะเป็นศตวรรษที่ 21 ก็ตาม และวันนี้ผม Kakommz จะขออนุญาตหยิบยกตัวอย่างเนื้อหาการพัฒนาตัวเองภายในหนังสือ (บางส่วน) ที่ผมชื่นชอบมาเกริ่นนำและทำความรู้จักหนังสือเล่มนี้ไปพร้อมกันครับจงแบ่งปันความล้มเหลวอะไรนะ! แบ่งปันความล้มเหลว? ใครเค้าจะบอกความล้มเหลวกันละ! ซึ่งก็จริงครับ คนส่วนใหญ่มักจะบอกในสิ่งที่ตัวเองนั้นประสบความสำเร็จมาแล้ว หรือเลือกเฉพาะสิ่งดีๆ มาบอกให้คนอื่นรับรู้ แต่สิ่งเหล่านี้เช่นกัน ที่อาจารย์นภดล ได้ให้ความเห็นว่ามีผลกระทบด้านลบต่อผู้อ่านหรือผู้ฟัง เช่นทำให้บางคนรู้สึกว่า ทำไมคนอื่นมีแต่ความสุข ได้ไปเที่ยว ได้งานดีดี ทำอะไรก็สำเร็จ แล้วทำไมเราไม่มีอะไรดีดีบ้าง จนสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการรู้สึกแย่กับตัวเองในส่วนนี้ผมจึงจะขอแบ่งปันความล้มเหลวบางส่วนของผมเอง ให้ผู้อ่านที่น่ารักทุกคนได้รับชมกัน เพื่อที่อาจจะเป็นกำลังใจครับว่า คนเราไม่ได้เพอร์เฟกต์ไปทั้งหมด (และในส่วนการแบ่งปันความล้มเหลวของอาจารย์นภดล นั้นจะมีอะไรบ้าง สามารถติดตามได้ในหนังสือเล่มนี้นะครับ)ความล้มเหลวของ Kakommz1. เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้ลองส่งผลงานการเขียนบทความเข้าประกวด แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จครับ2. มีครั้งหนึ่งที่ผมเรียนวิชานี้และคิดว่าจะได้เกรด A แน่นอน แต่สุดท้ายผมได้ B+ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลต่อเกรดโดยรวมมากเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังรู้สึกเศร้าอยู่ดี (ในตอนนั้นนะครับ)3. ผมมีแพลนครับว่าจะลองเก็บเงิน แต่จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังทำได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ (แต่ผมพยายามอยู่นะครับ และหวังว่าจะมีเงินเก็บเยอะๆ บ้าง)ขออนุญาตเหล่าประมาณนี้ก่อนนะครับ (ที่จริงมีความล้มเหลวมากกว่านี้ที่อยากเล่า แต่คงต้องแบ่งเนื้อที่ให้กับหัวข้ออื่นบ้าง ประมาณนี้ครับ) ซึ่งในหัวข้อนี้อาจารย์นภดล อยากฝากถึงทุกคนว่า "ไม่มีใครมีชีวิตที่เพอร์เฟกต์ตลอดเวลาหรอกครับ เขาแค่ไม่ได้เล่าเรื่องด้านลบของตัวเองก็เท่านั้น" ฉะนั้น อย่าท้อใจไปครับ หากคุณเผลอไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะภาพที่เราเห็นนั้น อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็เป็นได้ครับเทคนิคอ่านหนังสือสำหรับคนที่ไม่มีเวลาเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ส่วนตัวผมเองรู้สึกชื่นชอบมากๆ ครับ เพราะเป็นเทคนิคที่เรียกได้ว่าเป็นเคล็ด (ไม่) ลับ โดยอาจารย์นภดล ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ทุกคนที่ถึงแม้จะมีหรือไม่มีเวลาอ่านหนังสือก็ตาม และนี่คือเทคนิค 10 ข้อ ที่จะช่วยทำให้ทุกท่านอ่านหนังสือได้เพิ่มมากขึ้นครับ*หมายเหตุ*10 เทคนิคที่จะกล่าวต่อไปนี้ ผมจะขออนุญาตหยิบยกมาเฉพาะหัวข้อเพียงเท่านั้น และจะขออนุญาตอธิบายความเห็นส่วนตัวของผม Kakommz เพิ่มเติมไปในแต่ละหัวข้อนะครับ1. ต้องอ่านในสิ่งที่ชอบและสนใจในข้อนี้ผมเห็นด้วยมากๆ ครับ เพราะถ้าหากเราเริ่มอ่านหนังสือที่ไม่ค่อยชอบหรือไม่ถนัด เราอาจจะอ่านไปได้สัก 10 หน้า ก็เริ่มเบื่อและไม่อยากอ่านอีก ดังนั้น หากเป็นนักอ่านมือใหม่หรือถึงแม้จะเป็นมือฉมังแล้ว การอ่านหนังสือที่ชอบก็จะทำให้ตัวของเรานั้น อ่านหนังสือได้เร็วและเพิ่มมากขึ้นแน่นอนครับ2. ต้องหาช่วงเวลาที่สงบในการอ่าน ส่วนตัวผมเองก็มีเวลาที่ค่อนข้างจะสงบที่สุดคือ ช่วงเวลากลางคืนครับ เพราะรู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างเงียบ จึงทำให้สามารถอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาได้ดีมากขึ้น และในส่วนของเวลาที่สงบของแต่ละคนคือช่วงเวลาไหนบ้าง สามารถบอกใต้คอมเมนท์ได้เลยนะครับ 3. มีหนังสือเตรียมไว้ทุกที่วิธีนี้ ส่วนตัวผมเองก็เริ่มนำมาปรับใช้บ้างแล้ว และก็ได้ผลค่อนข้างดีเยี่ยมครับ เพราะวิธีนี้ทำให้ผมเริ่มผลักดันตัวเองจากคนที่ขี้เกียจอ่านหนังสือ หันมาอ่านเพิ่มมากขึ้น4. อ่านหนังสือหลายๆ เล่มพร้อมกันส่วนตัวผมเอง ยังไม่เคยลองอ่านพร้อมกันหลายเล่มครับ ถ้าจะอ่านก็อ่านเล่มเดียวให้จบและค่อยเริ่มเล่มใหม่ แต่สำหรับผู้อ่านบางท่าน อาจใช้วิธีนี้เพื่อปรับสไตล์การอ่านของตัวเองได้เลยนะครับ เพราะวิธีนี้อาจทำให้ทุกคนไม่เบื่อกับการอ่านหนังสือเล่มเดียว แต่เป็นการอ่านที่ผ่อนคลายและอ่านจบไปได้หลายเล่มพร้อมๆ กันครับ5. อ่าน E-book ในมือถือ แท็บเล็ต หรือคินเดิลวิธีนี้เหมาะมากๆ ครับ สำหรับใครก็ตามที่อยากหันมาอ่านหนังสือผ่านตัวช่วยทางเทคโนโลยีหรือแก้ปัญหาการไม่ต้องพกหนังสือไปหลายเล่ม เพราะสามารถอ่านได้เพียงแค่มีอุปกรณ์จำพวกมือถือหรือแท็บเล็ตนั่นเองครับ6. ฟังหนังสือเสียงในรถหรือระหว่างออกกำลังกายวิธีนี้ เปรียบเสมือนการเพิ่มเวลาให้มีมากกว่า 24 ชั่วโมง ในตอนที่ตัวของผมเคยรีวิวหนังสือของคุณเธมส์ใน "Book Review By Kakommz : รื้อ สร้าง ต่าง โต REINVENT" เพราะนอกจากจะทำให้ทุกคนมีเวลาออกกำลังกายหรือไม่ปล่อยให้เวลาที่ขับรถเสียไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังทำให้ทุกคนได้รับความรู้ที่ได้ฟังจากหนังสือเสียงไปพร้อมกันอีกด้วยครับ7. คบเพื่อนๆ ที่อ่านหนังสือเยอะหัวข้อนี้ ก็สามารถเปรียบได้กับสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ครับ ถ้าสภาพแวดล้อมที่เราอยู่นั้นเป็นแบบไหน 80-90% ก็จะพาให้เราทำแบบนั้นไปด้วย ฉะนั้นการคบเพื่อนที่อ่านหนังสือเป็นประจำ ก็อาจช่วยทำให้เราอ่านหนังสือได้เพิ่มมากขึ้นไปด้วยครับ8. อ่านแล้วคิดว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรวิธีนี้ เปรียบเสมือนการ Output จากสิ่งที่เรา Input มาครับ ถ้าหากเราอ่านหนังสืออย่างเดียวและไม่นำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปใช้ประโยชน์ มันก็อาจจะทำให้เราลืมเนื้อหาที่อ่านมาได้ ดังนั้นถ้าเราอ่านแล้วนำไปใช้ในชีวิตจริงด้วย ก็จะทำให้ตัวของเราสามารถจดจำเนื้อหาได้ดีมากขึ้นแน่นอน9. ยิ่งงานยุ่งยิ่งต้องอ่านเพราะถ้าหากเราสามารถจัดการงานอย่างเป็นระบบและจัดสรรเวลาอ่านหนังสือได้ นอกจากจะมีเวลาอ่านหนังสือได้แล้วนั้น งานที่ทำอยู่ก็จะทำเสร็จได้รวดเร็วตามไปด้วย เหมือนตัวอย่างหนึ่งจากหนังสือ Eat That Flog! ของ Brian Tracy ที่กล่าวถึงเทคนิคการจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเองครับ10. เลือกหนังสือที่จะอ่านเรามีเวลาจำกัดครับ เลือกอ่านในสิ่งที่คิดว่าเราชอบและเป็นประโยชน์กับเรามากที่สุด อะไรที่ไม่ใช่ก็อย่าเสียเวลาอ่านครับ จะได้มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นเยอะขึ้นโลกในอนาคตที่ไม่มีใครเรียนจบผมเชื่อว่าทุกคนอาจเคยได้ยินคำว่า "Long Life Learning" กันมาบ้างแล้ว ซึ่งอีกไม่ช้า (อาจจะไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ) การเรียนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนจะเรียนไปจนตลอดชีวิต ทั้งนี้ไม่ใช่การเรียนแค่เพียงในรั้วมหาวิทยาลัยเพียงเท่านั้น หากแต่เป็นการเรียนและการทำงานไปพร้อมกัน โดยอาจารย์นภดล กล่าวว่า "เราอาจเห็นสิ่งที่เรียกว่า Cooperation University เพิ่มมากขึ้น องค์กรเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรอให้มหาวิทยาลัยผลิตคนให้ แต่สามารถรับนักศึกษาเข้ามาทำงานและให้การศึกษาไปด้วยเลยในตัว" ด้วยเหตุนี้ อนาคตอันใกล้จะสั่นคลอนแวดวงการศึกษาแน่นอน และถ้ามหาวิทยาลัยไม่เปลี่ยนตัวเอง ก็ยากที่จะอยู่รอดเช่นกันนะครับหวังว่าเนื้อหา (บางส่วน) ที่กล่าวไปข้างต้น จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนในการพัฒนาทักษะพื้นฐานบางส่วนไม่มากก็น้อยนะครับสุดท้ายนี้ ผม Kakommz ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่กับ Book Review By Kakommz ครั้งหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีครับAbout Factชื่อหนังสือ : THE LOST SKILL ทักษะที่หายไปในศตวรรษที่ 21ผู้เขียน : ศ. ดร.นภดล ร่มโพธิ์ราคา : 220 บาทหมวดหมู่ : จิตวิทยาพัฒนาตนเองสำนักพิมพ์ : วีเลิร์นบทความ Book Review อื่นๆ ที่น่าสนใจของผู้เขียน - Book Review : Future Mindset เมื่อวิธีคิดที่คุณมี ใช้กับงานในวันพรุ่งนี้ไม่ได้ภาพหน้าปกโดย ผู้เขียนขอขอบคุณภาพประกอบจาก PIXABAYภาพล้มเหลว (ตัวอย่างประกอบ) โดย geraltภาพอ่านหนังสือ (ตัวอย่างประกอบ) โดย Pexelsภาพการเรียน (ตัวอย่างประกอบ) โดย StockSnapภาพหนังสือ THE LOST SKILL ทักษะที่หายไปในศตวรรษที่ 21 ถ่ายรูปโดยผู้เขียนอัปเดตสาระดี ๆ มีประโยชน์แบบนี้อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !