รีเซต

ทูตไทยประจำ UN ส่งหนังสือถึง UNSC ชี้แจง 10 ข้อ เหตุไทยระงับข้อตกลงสันติภาพ

ทูตไทยประจำ UN ส่งหนังสือถึง UNSC ชี้แจง 10 ข้อ เหตุไทยระงับข้อตกลงสันติภาพ
TNN ช่อง16
17 พฤศจิกายน 2568 ( 13:55 )
15

กระทรวงต่างประเทศได้เผยแพร่ หนังสือจาก นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยระบุข้อความว่า

ทั้งนี้ในเนื้อจดหมาย นายเชิดชาย ได้เรียนถึงสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทราบโดยเร่งด่วนถึงพัฒนาการล่าสุดเกี่ยวกับการกระทำต่อเนื่องของกัมพูชาที่เป็นปฏิปักษ์และยั่วยุต่อประเทศไทย ดังนี้

1. เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025 ไทยและกัมพูชาได้ลงนาม “ถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย” ผ่านการเป็นคนกลางในการประสานงานของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นพัฒนาการและความมุ่งมั่นสำคัญในการยุติสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชาอย่างสันติ

2. นับตั้งแต่นั้น ไทยได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นทุกประการที่จะยึดมั่นต่อคำมั่นที่ให้ไว้ และขับเคลื่อนการดำเนินการตามถ้อยแถลงดังกล่าว ด้วยจิตวิญญาณแห่งการอยู่ร่วมกันฉันมิตรกับเพื่อนบ้าน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน และการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติอย่างสัมบูรณ์

3. ในส่วนของความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมนั้น ไทยและกัมพูชาได้จัดตั้ง คณะทำงานประสานงานร่วม (Joint Coordinating Task Force - JCTF) ด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม รวมถึงจัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติ (Standard Operating Procedures - SOP) เพื่อกำหนดพื้นที่ที่มีลำดับความสำคัญตามแนวชายแดนที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม รวมถึงประสานงานในการวางแผนและปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งภายใต้กลไกดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบพื้นที่เป้าหมายลำดับแรกในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในจังหวัดสระแก้วของไทยแล้ว

4. เป็นที่น่าเสียใจว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 เวลา 09.30 น. เพียงสองสัปดาห์หลังการลงนามถ้อยแถลงฯ และท่ามกลางพัฒนาการเชิงบวกในความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ทหารไทยจากกองร้อยทหารราบที่ 1161 ซึ่งปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามเส้นทางที่ใช้ตามปกติในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้เหยียบทุ่นระเบิด โดยจากการตรวจสอบพบว่าเป็นทุ่นระเบิดประเภท PMN-2 ที่ถูกวางใหม่ ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัส 4 นาย โดย 1 นายต้องสูญเสียขาขวา ทั้งนี้ ขอย้ำว่า ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2025 เป็นต้นมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับทุ่นระเบิดในแผ่นดินไทยแล้ว 7 ครั้ง รวมถึงเหตุการณ์ข้างต้น ทำให้ทหารไทยรวม 7 นายพิการถาวร โดยแต่ละนายต้องสูญเสียขา
การใช้ทุ่นระเบิดของกัมพูชาอย่างต่อเนื่องถือเป็นการไต่ตรองไว้ล่วงหน้าและผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่ออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention – APMBC) กฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 2(4) และอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย

5. ภายหลังเหตุทุ่นระเบิดล่าสุด ไทยได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมว่าด้วยการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 22 เพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแสดงความกังวลต่อการละเมิดอนุสัญญาฯ ของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยได้แนบสำเนาหนังสือดังกล่าวมาพร้อมนี้ด้วย

6. ยิ่งไปกว่านั้น น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2025 เวลา 16.10 น. ทหารกัมพูชาจงใจเปิดยิงใส่ทหารไทย ที่ประจำการในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ซึ่งอยู่ในดินแดนของไทย โดยถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างชัดเจน ทหารไทยจำเป็นต้องยิงเตือนกลับด้วยอาวุธเล็กเพื่อป้องกันตนเอง ตามหลักการความจำเป็นและได้สัดส่วนอย่างเคร่งครัด การยิงตอบโต้ระหว่างกันดำเนินถึงเวลา 16.15 น. โดยฝ่ายกัมพูชายิงรวม 30 นัด ก่อให้เกิดความเสียหายต่อฝ่ายไทย และต่อมา เมื่อเวลา 17.55 น. มีเสียงปืนกลประมาณ 5 นัด จากฝั่งกัมพูชา แต่ฝ่ายไทยไม่ได้ยิงตอบโต้ การดำเนินการของไทยต่อการยั่วยุรอบนี้ของกัมพูชาเป็นการใช้สิทธิโดยชอบธรรมในการป้องกันตนเองของไทย โดยสอดคล้องอย่างสัมบูรณ์กับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ

7. เป็นเรื่องที่น่าตำหนิอย่างยิ่งที่หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนกัมพูชาได้เผยแพร่ข้อมูลเท็จ โดยกล่าวหาว่า เหตุการณ์ดังกล่าวริเริ่มโดยฝ่ายไทย สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์นี้เป็นการยั่วยุที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าโดยกัมพูชาอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนมีเจตนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความรับผิดชอบต่อเหตุทุ่นระเบิดที่เกิดขึ้นล่าสุด ไทยขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการบิดเบือนข้อเท็จจริงและเจตนาบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ

8.การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุอย่างต่อเนื่องของกัมพูชาต่อไทยมีแต่จะเพิ่มความตึงเครียด และเป็นการละเมิดอย่างชัดแจ้งต่อพันธกรณีที่มีร่วมกันภายใต้ถ้อยแถลงฯ ซึ่งเป็นการขัดขวางความพยายามของทุกฝ่ายในการส่งเสริมการแก้ปัญหาสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่อย่างสันติ และเป็นการกัดกร่อนความไว้วางใจและความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงถูกบีบให้ต้องระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงฯ เท่าที่เหมาะสม จนกว่าจะสามารถมั่นใจในความจริงใจและสุจริตใจของกัมพูชาได้

9.ในส่วนของไทย แม้จะมีการกระทำที่เป็นการรุกรานและเป็นปฏิปักษ์โดยเจตนาและต่อเนื่องจากกัมพูชา แต่ไทยจะยังคงใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และจะยังคงยึดมั่นอย่างแน่วแน่ต่อการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธียิ่งไปกว่านั้น ไทยจะยังคงดำเนินการในส่วนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการของถ้อยแถลงฯ ต่อไป คือ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งจำเป็นต่อการปกป้องพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และ การต่อสู้กับเครือข่ายหลอกลวงข้ามชาติ ซึ่งส่งผลกระทบไม่เพียงแต่ต่อพลเมืองของไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก

10. ในการนี้ ไทยร้องขอประชาคมระหว่างประเทศให้เรียกร้องต่อกัมพูชาให้รับผิดชอบอย่างเต็มที่ และยุติการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุทั้งหมด ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนชาวไทยและถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจน กัมพูชาจะต้องเคารพอย่างสูงสุดและดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติโดยทันทีโดยสุจริตใจและจริงใจเพื่อแสวงหาเส้นทางสู่สันติภาพกับไทย

ในการนี้ กระผมขอความอนุเคราะห์ให้เวียนจดหมายฉบับนี้รวมถึงเอกสารแนบ แก่สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงฯ ทุกประเทศ ในฐานะเอกสารของคณะมนตรีความมั่นคงฯ เพื่อให้รับทราบข้อมูลข้างต้นโดยเร่งด่วน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง