9 สาเหตุของปัญหาผักตบชวา ในแหล่งน้ำลำคลอง ตามธรรมชาติ อ่านต่อเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล หลายคนคงเคยได้เห็นภาพของผักตบชวาหนาแน่น และลอยเป็นแพขวางแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งคุณผู้อ่านอาจจะสงสัยต่อว่า ทำไมผักตบชวาถึงได้ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ผักชนิดนี้เกิดเต็มไปหมด ที่ในบางพื้นที่ก็ได้กลายเป็นปัญหา จนต้องรวบรวมคนมากำจัดทิ้งไป ซึ่งคำตอบของความสงสัยที่ว่ามานั้น มีมาให้แล้วในบทความนี้ค่ะ โดยในบทความนี้เราจะมารู้กันว่า สาเหตุของปัญหาผักตบชวามีอะไรบ้าง ถ้าเกี่ยวข้องกับคนเราคือเกิดจากอะไร ถ้าเกิดจากสิ่งแวดล้อมจะเป็นแบบไหนได้บ้าง โดยเมื่อคุณผู้อ่านได้อ่านจบแล้ว จะพบว่า จริงๆ แล้วมีสาเหตุมากกว่าที่หลายคนได้คิดและบอกต่อเรามา ซึ่งในบางสาเหตุก็มีคนจำนวนน้อยที่รู้ ดังนั้นต้องอ่านให้จบค่ะ และต่อไปนี้คือ 9 สาเหตุของปัญหาเรื่องผักตบชวาในลำคลองตามธรรมชาติ ที่ควรรู้! 1. การแพร่กระจายและอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว ปัญหาผักตบชวาที่มองเห็นได้ทั่วลำคลองบ้านเราจนเป็นเรื่องปกติ แท้จริงแล้วมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่เป็นพืชที่โตเร็วและขยายพันธุ์ได้ง่ายค่ะ ลองนึกภาพดูสิว่าผักตบชวาเพียงต้นเดียว ถ้าได้อยู่ในน้ำนิ่งๆ มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ไม่นานก็แตกหน่อออกมาเป็นสิบเป็นร้อยต้นได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่หน่อเท่านั้น แต่เมล็ดของผักชนิดนี้ก็ยังทนทาน ฝังตัวอยู่ในดินได้นานหลายปี พอสภาพแวดล้อมเหมาะสมก็งอกขึ้นมาใหม่ได้อีกไม่รู้จบ นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ผักตบชวาสามารถปกคลุมผิวน้ำได้ทั่วคลองในเวลาอันสั้น จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อการสัญจรทางน้ำ การระบายน้ำ และระบบนิเวศของแหล่งน้ำตามธรรมชาติของเราอย่างมากค่ะ 2. น้ำนิ่งหรือการไหลของน้ำไม่ดี ผักตบชวาเป็นวัชพืชน้ำที่หลายคนคุ้นเคย แต่รู้ไหมคะว่าการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของผักชนิดนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่ได้มาจากเรื่องที่ซับซ้อนเลย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วปัญหานี้มักจะเกิดจากสภาพน้ำที่นิ่งหรือมีการไหลเวียนไม่ดี เพราะเมื่อน้ำไม่ไหลหรือไหลช้า ผักตบชวาก็จะเติบโตและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ปกคลุมผิวน้ำจนแสงแดดส่องลงไปไม่ถึง ทำให้พืชน้ำชนิดอื่นๆ ตาย และในบางครั้งสัตว์น้ำขาดออกซิเจน และระบบนิเวศโดยรวมก็เสียหายไปด้วย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการสัญจรทางน้ำและการทำประมงอีกด้วย ดังนั้นการแก้ไขปัญหาผักตบชวาอย่างยั่งยืน จึงไม่ใช่แค่การกำจัดออกไป แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูสภาพน้ำให้มีการไหลเวียนที่ดีขึ้นด้วยค่ะ 3. การปนเปื้อนของธาตุอาหารในแหล่งน้ำ รู้ไหมคะว่า ปัญหาผักตบชวาที่ระบาดหนักในหลายพื้นที่นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากแค่การที่น้ำนิ่งเท่านั้น แต่ยังมาจากการที่น้ำของเรานั้นเต็มไปด้วยธาตุอาหารมากเกินไป โดยธาตุอาหารส่วนใหญ่มาจากน้ำเสียจากบ้านเรือน เกษตรกรรม หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ผ่านการบำบัดอย่างเหมาะสม เมื่อผักตบชวาได้รับธาตุอาหารในปริมาณมาก ก็เหมือนได้ปุ๋ยชั้นดีที่ช่วยให้เจริญเติบโต และขยายพันธุ์ได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม จนกลายเป็นแพหนาแน่นปกคลุมผิวน้ำ ทำให้แสงแดดส่องไม่ถึง พืชน้ำอื่นๆ ตาย ปลาขาดออกซิเจน และคุณภาพน้ำก็เสื่อมโทรมลงอย่างหนัก ดังนั้นการจัดการผักตบชวาจึงต้องมองให้ลึกไปถึงต้นตอของปัญหา นั่นคือการลดการปนเปื้อนของธาตุอาหารในน้ำ เพื่อไม่ให้แหล่งน้ำของเรากลายเป็นจุดที่เอื้อให้ผักตบชวาเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วค่ะ 4. ขาดการบริหารจัดการและดูแลแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง ลองนึกภาพแหล่งน้ำสาธารณะที่ควรจะมีคนคอยดูแลทำความสะอาดอยู่เสมอ หากไม่มีการเฝ้าระวัง เก็บกู้ผักตบชวาออกไปอย่างสม่ำเสมอ หรือแม้แต่ไม่ได้มีการวางแผนจัดการน้ำให้ไหลเวียนดีตั้งแต่ต้น ผักตบชวาซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้รวดเร็วอยู่แล้ว ก็จะยิ่งแพร่กระจายจนควบคุมได้ยากในที่สุด ซึ่งการปล่อยปละละเลยเพียงเล็กน้อยในวันนี้ จะทำให้ผักตบชวาที่อยู่ในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ กลายเป็นแพผักตบชวาขนาดใหญ่ที่สร้างปัญหามากมายในวันหน้า ทั้งกีดขวางการสัญจร ทำลายระบบนิเวศ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่การกำจัดผักตบชวาเฉพาะหน้า แต่คือการสร้างระบบการดูแลรักษาแหล่งน้ำให้ยั่งยืน มีการเฝ้าระวังและจัดการอย่างต่อเนื่องค่ะ 5. การใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำที่ลดลง หลายคนอาจคิดว่าปัญหาผักตบชวาที่เกลื่อนแหล่งน้ำ เป็นเพราะน้ำเน่าเสียหรือน้ำนิ่งอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่น้อยคนจะรู้ คือ การที่คนเราใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยลงค่ะ ลองจินตนาการถึงแม่น้ำลำคลองในอดีตที่ผู้คนใช้สัญจร ค้าขาย หรือแม้แต่หาปลาอยู่เป็นประจำ กิจกรรมเหล่านี้ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ก็ล้วนมีส่วนช่วยในการรบกวนการเจริญเติบโตของผักตบชวาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือที่ช่วยพัดพา หรือการเก็บเกี่ยวผักตบชวาไปใช้ประโยชน์เป็นอาหารสัตว์หรือทำปุ๋ย แต่เมื่อวิถีชีวิตของคนเราเปลี่ยนไป ผู้คนหันไปใช้ถนนหนทางมากขึ้น แหล่งน้ำหลายแห่งจึงถูกทิ้งร้าง ไม่มีคนเข้าไปรบกวนหรือใช้ประโยชน์เท่าเมื่อก่อน ผักตบชวาจึงสามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ในที่สุด ดังนั้นการฟื้นฟูการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำอย่างเหมาะสม จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยควบคุมปัญหาผักตบชวาได้อย่างยั่งยืนค่ะ 6. การขาดความตระหนักและจิตสำนึกของชุมชน รู้ไหมคะว่า ปัญหาผักตบชวาที่ระบาดหนักในแม่น้ำลำคลอง ไม่ใช่แค่เรื่องของธรรมชาติหรือการบริหารจัดการภาครัฐเท่านั้นค่ะ แต่ส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะการขาดความตระหนัก และจิตสำนึกของชุมชนที่อาศัยอยู่รอบๆ แหล่งน้ำด้วย ลองนึกดูว่าถ้าทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของแหล่งน้ำ ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่ทิ้งขยะหรือน้ำเสียลงไปในคลอง และช่วยกันสอดส่องดูแล หากเห็นผักตบชวาเริ่มก่อตัวเพียงเล็กน้อย ก็ช่วยกันเก็บกู้หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัญหาเหล่านี้ก็คงไม่ลุกลามใหญ่โต แต่การปล่อยให้แหล่งน้ำกลายเป็นถังขยะ หรือเมินเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จะทำให้ผักตบชวาเติบโตได้โดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง จนกลายเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตและทำลายระบบนิเวศในที่สุด ดังนั้น การจะแก้ปัญหาผักตบชวาได้อย่างยั่งยืน จึงต้องเริ่มต้นจากการปลูกฝังจิตสำนึก และความรับผิดชอบร่วมกันในชุมชน เพื่อให้ทุกคนหันมาใส่ใจและดูแลแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นสมบัติของส่วนรวมในประเทศไทยของเราค่ะ 7. ปัจจัยทางธรรมชาติ หลายคนอาจมองว่าผักตบชวาเป็นปัญหาที่มนุษย์สร้างขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วผักตบชวาเป็นพืชที่เติบโตได้ดีอยู่แล้วตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมนะคะ และมีปัจจัยทางธรรมชาติหลายอย่างล้วนเป็นใจให้ผักตบชวาแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดที่ช่วยให้สังเคราะห์แสงได้เต็มที่อุณหภูมิที่อบอุ่นซึ่งเหมาะกับการเจริญเติบโต หรือแม้แต่สภาพน้ำที่ค่อนข้างนิ่งที่เอื้อต่อการยึดเกาะและขยายตัวเป็นแพขนาดใหญ่ นอกจากนี้ผักตบชวายังมีความสามารถพิเศษในการแพร่พันธุ์ได้ทั้งทางเมล็ดและการแตกหน่อ จึงทำให้เพิ่มจำนวนได้อย่างก้าวกระโดดเมื่อมีปัจจัยเหล่านี้มารวมกัน ซึ่งการทำความเข้าใจธรรมชาติของผักตบชวาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสามารถช่วยให้เราวางแผนรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่จะแค่กำจัดทิ้งไปเรื่อยๆ เราอาจต้องพิจารณาถึงการจัดการสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้ผักตบชวาแพร่กระจายอย่างรวดเร็วค่ะ 8. ไม่มีสัตว์น้ำที่กินผักตบชวาเป็นอาหาร เวลาเราเห็นผักตบชวาเต็มแหล่งน้ำ เรามักจะนึกถึงเรื่องน้ำเสียหรือน้ำนิ่งก่อนเป็นอันดับแรกๆ แต่รู้ไหมคะว่าอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง คือ การที่ไม่มีสัตว์น้ำชนิดไหนกินผักตบชวาเป็นอาหารมากพอในระบบนิเวศตามธรรมชาติค่ะ ปกติสัตว์ต่างๆ หรือแมลงมักมีส่วนช่วยควบคุมปริมาณพืชหรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ตามธรรมชาติ ไม่ให้มากเกินไป เหมือนมีผู้ล่าผู้ถูกล่าคอยรักษาสมดุลซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับผักตบชวาแล้ว สัตว์น้ำส่วนใหญ่มักจะไม่กินเป็นอาหารหลัก หรืออาจจะกินได้ก็น้อยมาก เพราะผักตบชวามีเส้นใยมาก ย่อยยาก จึงทำให้ไม่มีผู้ช่วยกินตามธรรมชาติมาช่วยลดปริมาณ เมื่อผักตบชวาเกิดขึ้นแล้ว พอไม่มีอะไรมาช่วยควบคุม จึงทำให้เจริญเติบโตและแพร่ขยายได้อย่างอิสระ จนกลายเป็นแพขนาดใหญ่ปกคลุมแหล่งน้ำ และสร้างปัญหาตามมามากมาย ดังนั้นการพยายามหาวิธีเพิ่มจำนวนสัตว์น้ำที่สามารถกินผักตบชวาได้บ้าง หรือใช้ประโยชน์จากผักตบชวาในรูปแบบอื่นๆ จึงเป็นอีกแนวทางในการจัดการปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืนค่ะ 9. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ก็มีส่วนสำคัญไม่แพ้กันกับสาเหตุอื่นๆ เลยค่ะ เพราะว่าอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทำให้ผักตบชวา ซึ่งเป็นพืชที่ชอบอากาศอบอุ่นอยู่แล้ว สามารถเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้เร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดด ยิ่งไปกว่านั้นรูปแบบของฝนที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งฝนตกหนักขึ้นในบางพื้นที่จนเกิดน้ำท่วมขัง และบางพื้นที่แห้งแล้งจนน้ำนิ่ง ก็ยิ่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้ผักตบชวาขยายตัวได้อย่างไร้การควบคุม เมื่อธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เอื้ออำนวยให้ผักชนิดนี้เจริญเติบโต ปัญหาผักตบชวาจึงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้จึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การกำจัดผักตบชวาออกจากน้ำ แต่เราจำเป็นต้องหันมามองถึงแนวทางการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปรับตัวเพื่อลดผลกระทบที่จะส่งเสริมให้ผักตบชวากลายเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งขึ้นในอนาคตค่ะ ก็จบแล้วค่ะ ที่โดยภาพรวมแล้วปัญหาของการมีผักตบชวาเยอะในแหล่งน้ำแห่งหนึ่ง เป็นผลรวมของหลายปัจจัยที่ซับซ้อน ที่เอื้อให้ผักตบชวาเจริญเติบโตได้ดีขึ้น หรือจะพูดว่าผักตบชวาเป็นปัญหาที่เกิดจากหลายสาเหตุที่เกี่ยวพันกันก็ได้ค่ะ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าในตอนนั้นแหล่งน้ำที่มีผักตบชวาเกิดจากสาเหตุไหน? ซึ่งการที่จะระบุสาเหตุที่ชัดเจนต้องอาศัยการสังเกต และวิเคราะห์สภาพแวดล้อมโดยรอบค่ะ หากพบว่าน้ำไหลช้าหรือไม่มีการเคลื่อนที่เลย ก็อาจเป็นเพราะน้ำนิ่ง ถ้าผักตบชวาเขียวสดมากผิดปกติและน้ำมีกลิ่นเหม็น ก็อาจเกิดจากการปนเปื้อนของธาตุอาหาร หากแหล่งน้ำนั้นถูกทิ้งร้างมานาน ไม่มีใครเข้ามาดูแลหรือใช้งาน ก็เป็นเพราะการขาดการจัดการหรือการใช้ประโยชน์ที่ลดลง นอกจากนี้การสอบถามข้อมูลจากคนในพื้นที่ที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นมานาน ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงประวัติและสภาพปัญหาของแหล่งน้ำนั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาผักตบชวาได้อย่างตรงจุดและยั่งยืนต่อไปค่ะ ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้มีประสบการณ์มานั้น ปัญหาการมีผักตบชวาของแหล่งน้ำที่นี่ เกิดจากที่มีน้ำเสียไปปนเปื้อนในแหล่งน้ำ จนทำให้มีธาตุอาหารละลายน้ำจำนวนมาก และไปส่งเสริมให้ผักตบชวาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วค่ะ ตลอดจนการที่น้ำค่อนข้างนิ่ง การใช้ประโยชน์ของแหล่งน้ำ รวมไปถึงการนำต้นผักตบชวามาใช้จริงในชีวิตประจำวันก็ลดลงด้วย เลยพบว่าปริมาณของผักตบชวามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ซึ่งในส่วนของสภาพภูมิอากาศนั้น ก็เป็นใจอีกเหมือนกัน ที่ก็น่าจะไม่ต่างจากที่จังหวัดอื่นๆ นะคะ เพราะประเทศไทยของเราเป็นประเทศเขตร้อน ก็ไม่รู้ว่าในส่วนของคุณผู้อ่านที่มีปัญหาเรื่องผักตบชวาในตอนนี้นั้น เกิดจากสาเหตุอะไรและมีปัจจัยไหนเป็นพิเศษ ยังไงนั้นลองอ่านทำความเข้าใจดีๆ อีกสักรอบก่อนก็ได้และไปสังเกตอย่างละเอียด ก็จะทำให้เราทราบถึงต้นตอที่แท้จริงของการมีปัญหาเรื่องผักตบชวาในแหล่งน้ำตามธรรมชาติค่ะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป และถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดที่รูปโปรไฟล์ใต้ชื่อบทความนี้ได้เลยค่ะ เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปกและหน้าปกโดยผู้เขียน ออกแบบใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล จอกหูหนู คืออะไร กำจัดยากไหม ช่วยบำบัดน้ำเสียไหม แหนเป็ดเล็ก คืออะไร ในด้านสิ่งแวดล้อม แหนแดงในธรรมชาติ เกิดจากอะไร ช่วยบำบัดน้ำเสียไหม เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !