ฉันเกิดและโตในจังหวัดระยอง ตอนนี้ฉันอายุ 32 ปี แต่เชื่อไหมว่าในสมัยที่ฉันเป็นเด็กประถม ปู่ย่าเคยพาฉันพายเรือริมคลอง ที่ 2 ฝั่งจะเต็มไปด้วยต้นจาก โปร่ง โกงกาง ลำพู แสม และขลู่ ภาพสองฝั่งคลองอุดมสมบูรณ์จนออกไปถึงปากแม่น้ำประแสร์ ชนิดที่เรียกว่า "ซ่อนกุ้ง" ได้มากมาย จนต้องปล่อยทิ้งไป เลือกไว้แต่ตัวโต ๆ เท่านั้น ส่วนปูก็เลือกเฉพาะตัวที่มี 2 กระดอง ถือว่าเป็นปูที่อร่อยมาก ยิ่งปลานี่ไม่ต้องพูดถึง ชุกชุมและเพียงพอที่จะเลี้ยงชีวิตของชาวบ้านในย่านนี้ให้อิ่มหนำภาพจากผู้เขียนเวลาหลังจากนั้นไปไม่กี่ปี ฉันเริ่มเรียนอยู่มัธยมต้น หรือเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ที่ดินใกล้บริเวณคลองกลายเป็นบ่อกุ้ง พื้นที่ชายเลนเริ่มหายไป ประมงพื้นบ้านไม่สามารถเลี้ยงชีพและเลี้ยงครอบครัวได้อีกแล้ว ฉันแทบไม่เคยได้กินลูกจากสด ๆ จากต้นอีกเลย หลังจากนั้นคนในชุมชนเริ่มตระหนักว่าหากเราไม่เริ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนตั้งแต่วันนี้ ในวันข้างหน้าลูกหลานของเราจะมีปัญหาจากน้ำทะเลหนุนแน่นอน และหลังจากนั้นก็เกิดกระแส อนุรักษ์แม่น้ำประแสร์ขึ้นฉันดีใจที่เกิดโครงการอนุรักษ์เกี่ยวกับแม่น้ำประแสร์มากมายอย่างเห็นเป็นรูปประธรรม ตั้งแต่การปลูกใหม่จนถึงการรักษาไว้ จนวันนี้สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ให้ชาวบ้านและคนรุ่นหลังได้เข้าใจความสำคัญของป่าชายเลนแล้วภาพจากผู้เขียนมาลองเดินเส้นทางสำรวจธรรมชาติของประแสร์ดูนะคะเส้นทางศึกษาธรรมชาติทุ่งโปรงทองปากน้ำประแสร์ มีระยะทางประมาณ 2.6 กิโลเมตร โดยเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติด้วยสะพานไม้ แต่ละช่วงของการเดินก็จะพบกับต้นโกงกาง แสม ลำพู เมื่อก้มลงดูที่พื้น เราจะเห็นฝูงปลาเล็ก ๆ ที่อาศัยชายเลนหลบภัย เหล่าปูแสม และเจ้าปลาตีน ที่ว่องไวในโคลนเลน ตลอดเส้นทางศึกษาธรรมชาติจะมีศาลาให้แวะพักช่วง ๆ เพื่อให้หายเหนื่อย นั่งรับลมธรรมชาติ ชมบรรยากาศที่เย็นสบายขอบคุณภาพประกอบจาก pixabay.comปลายทางของเส้นทางศึกษาธรรมชาติปากน้ำประแสร์เส้นนี้ คือ ทุ่งโปร่งทอง ที่ใครมาเห็นก็ล้วนจะประทับใจไปกับภาพของต้นโปร่ง สะท้อนใบสีเหลืองทองสุดลูกหูลูกตา จนถูกเรียกว่า "ทุ่งโปร่งทอง"เชื่อว่าหลังจากจบทริปการเดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติแม่น้ำประแสร์แล้ว คุณจะรักและเห็นความสำคัญของป่าชายเลนแบบที่เรารักค่ะภาพหน้าปกจาก ผู้เขียนบทความ