ไทยได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะมนตรี UNHRC คะแนนสูงสุดในเอเชีย-แปซิฟิก
วันนี้ (10 ต.ค. 7) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศว่า ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) วาระปี 2568-2570 จากการลงคะแนนเลือกตั้งในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
การได้รับเลือกครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่น่ายินดีของประเทศไทย โดยไทยได้รับคะแนนเสียงถึง 177 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิก ถือเป็นคะแนนที่สูงที่สุดที่เคยมีมาในภูมิภาคนี้ การได้รับเลือกดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไทยในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระดับสากล
บทบาทและเป้าหมายของไทยในฐานะสมาชิก UNHRC
ประเทศไทยจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 โดยมีวาระดำรงตำแหน่ง 3 ปี ร่วมกับสมาชิกอื่น ๆ อีก 17 ประเทศ ได้แก่ เบนิน, โบลิเวีย, โคลอมเบีย, ไซปรัส, เช็ก, คองโก, เอธิโอเปีย, แกมเบีย, ไอซ์แลนด์, เคนยา, หมู่เกาะมาร์แชลล์, เม็กซิโก, มาเซโดเนียเหนือ, กาตาร์, สเปน, เกาหลีใต้ และสวิตเซอร์แลนด์
นายจิรายุระบุว่ารัฐบาลไทยเชื่อว่าการเป็นสมาชิก UNHRC จะช่วยเสริมสร้างมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศ และยกระดับภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก การได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการที่ไทยจะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเด็นสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ ในการแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนร่วมกัน
คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติมีบทบาทสำคัญอย่างไร?
คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) มีหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทั่วโลก รวมถึงการจัดการกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศต่าง ๆ ผ่านการตรวจสอบและการให้คำแนะนำ การที่ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นสมาชิกในวาระนี้ จะช่วยให้ประเทศมีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นและร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนที่สำคัญในระดับสากล
การเข้าร่วมเป็นสมาชิก UNHRC เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถแสดงบทบาทเชิงรุกในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในเวทีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยยืนยันถึงความตั้งใจของไทยในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศและทั่วโลก
ข้อมูลจาก: ทำเนียบรัฐบาล
ภาพจาก: ทำเนียบรัฐบาล