หากพูดถึงเกมแอคชั่นที่ทั้งมันส์ เร้าใจ และมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร คงไม่มีใครไม่รู้จักซีรีส์ “DMC” หรือ Devil May Cry ที่กลายเป็นไอคอนของเกมแอคชั่นแนว Stylish Hack-and-Slash มานานหลายปี ตั้งแต่การเปิดตัวภาคแรกในปี 2001 จนถึงภาคล่าสุด DMC5 ในปี 2019 ผมเองก็เป็นหนึ่งในแฟนเดนตายที่เติบโตมากับซีรีส์นี้ และยังคงหยิบกลับมาเล่นซ้ำอยู่เสมอ บทความนี้ ผมอยากพาทุกคนไปรู้จัก DMC ให้ลึกขึ้นในมุมของ “ประสบการณ์” ที่ได้จากการเล่น ไม่ใช่แค่เรื่องราวหรือระบบเกม แต่รวมถึงความรู้สึกที่ได้จากการอินไปกับมันในแต่ละช่วงชีวิต ดันเต้: ฮีโร่สายกวนที่เปลี่ยนความหมายของคำว่า ‘เท่’ ตอนที่ผมเล่น DMC ภาคแรกบน PlayStation 2 ความรู้สึกแรกคือ “ตัวเอกนี่มันกวนโอ๊ยจริงๆ” ดันเต้พูดจากวนประสาท ใส่โค้ทหนังแดง เดินเข้าหาบอสพร้อมรอยยิ้มเย็นชา แล้วกระหน่ำคอมโบทั้งดาบทั้งปืนแบบไม่ยั้ง นี่คืออะไรที่ผมไม่เคยเจอในเกมไหนมาก่อน เขาไม่ใช่ฮีโร่ที่เคร่งขรึม แต่เป็นคนที่ “สนุกกับการต่อสู้” และไม่กลัวความตาย แม้จะอยู่ต่อหน้าปีศาจร้าย มันเป็นความเท่แบบที่ผมในวัยเด็กเฝ้าอยากจะเป็น ถึงขนาดฝึกพูดมุกของดันเต้ตาม และพยายามเล่นให้ได้ Rank S ทุกครั้งเพียงเพราะอยาก “เท่” แบบเขา การต่อสู้ที่ต้องใช้ฝีมือจริง ไม่ใช่แค่กดมั่ว DMC ไม่ใช่เกมที่แค่กดรัวก็ชนะ มันต้องเรียนรู้ระบบคอมโบ เรียนรู้จังหวะหลบ ศึกษาแพทเทิร์นของศัตรู และที่สำคัญ... ต้องมี “สไตล์” ผมใช้เวลานานมากกว่าจะทำคอมโบให้ต่อเนื่องจากดาบ Rebellion ไปยังปืน Ebony & Ivory และปิดท้ายด้วยท่าไม้ตาย Devil Trigger ได้อย่างสมูท ช่วงที่เล่น DMC3 ผมใช้เวลาหลายชั่วโมงในแต่ละวันเพียงเพื่อฝึกการใช้ Style Action อย่าง Trickster หรือ Swordmaster ให้คล่อง จนวันหนึ่งสามารถโชว์เล่นให้เพื่อนดูแล้วได้ Rank SSS แบบไร้ที่ติ มันคือความรู้สึกสำเร็จที่ไม่มีเกมไหนเคยให้ผมได้เท่านี้ เนื้อเรื่องที่ลึกซึ้งมากกว่าที่คิด ใครที่มองว่า DMC เป็นแค่เกมแอคชั่นคงเข้าใจผิด เพราะเมื่อเล่นลึกไป จะพบว่าเรื่องราวของ “ดันเต้” กับ “เวอร์จิล” พี่น้องฝาแฝดที่ต้องอยู่คนละขั้วของแสงและเงา เต็มไปด้วยอารมณ์ ความขัดแย้ง และความสูญเสีย ใน DMC5 ผมถึงกับน้ำตาซึมตอนฉากจบที่เวอร์จิลกลับใจ และทั้งคู่ร่วมมือกันปราบภัยร้าย ผมรู้สึกเหมือนได้เห็นภาพสะท้อนของความสัมพันธ์ในครอบครัวจริงๆ ว่าต่อให้เคยเกลียดกันแค่ไหน พี่น้องก็คือพี่น้อง ดนตรีประกอบที่กระตุ้นหัวใจในทุกคอมโบ เพลง “Devil Trigger” กลายเป็นเพลงในเพลย์ลิสต์ออกกำลังกายของผมจนถึงทุกวันนี้! DMC5 ทำให้ผมลุกจากเก้าอี้ ลุกขึ้นเต้น หรือโยกหัวตามทุกครั้งที่เปิดฉากต่อสู้ เนื้อเพลงกระตุ้นให้สู้แบบไม่ยอมแพ้ มันเหมือนปลุกไฟในตัวผมให้ลุกโชนทุกครั้งที่เล่น ชุมชนเกมเมอร์ DMC ที่อบอุ่นและมีพลังสร้างสรรค์ สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างคือ “แฟนคลับของ DMC” ไม่ใช่แค่เล่นเกม แต่พวกเขาเขียนฟิค ทำแฟนอาร์ต ตัดคลิปรีวิว หรือแม้แต่แต่งคอสเพลย์เป็นดันเต้หรือเวอร์จิลอย่างสุดใจ ผมเคยไปงานเกมโชว์ในกรุงเทพฯ แล้วเห็นคนคอสเวอร์จิลเหมือนมาก จนต้องขอถ่ายรูปด้วย มันไม่ใช่แค่เกม แต่กลายเป็นวัฒนธรรมที่ผู้คนมีส่วนร่วม และส่งต่อแรงบันดาลใจให้กันและกัน DMC ไม่ได้เป็นแค่เกม แต่มันคือ ‘ประสบการณ์’ ที่ติดอยู่ในใจ DMC คือเกมที่ผมรักไม่ใช่แค่เพราะมันมันส์ แต่เพราะมันสอนให้ผมรู้จักความอดทน การฝึกฝน และการไม่ยอมแพ้ เสียงเพลง เสียงดาบ และเสียงหัวเราะกวนๆ ของดันเต้จะอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ และแน่นอนว่าถ้าภาคใหม่มา ผมจะเป็นคนแรกที่กดซื้อแน่นอน หากคุณยังไม่เคยลอง DMC ขอแนะนำให้เริ่มที่ DMC5 แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไม “Devil May Cry” ถึงเป็นเกมที่มากกว่าแค่ความมันส์ มันคือเกมที่มีหัวใจ รูปหน้าปก : รูปที่1 Devil May Cry รูปภาพที่1 : จากเจ้าของบทความ รูปภาพที่2 : จากเจ้าของบทความ รูปภาพที่3 : จากเจ้าของบทความ รูปภาพที่4 : จากทวิตเตอร์ Devil May Cry เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !