รีวิวหนังสือ " คุณคือพลาซีโบ ทำความคิดให้ออกฤทธิ์กับสุขภาพ " สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้เราจะมารีวิวหนังสือที่เราได้อ่านแล้วรู้สึกมีมุมมองที่เปิดกว้างมากขึ้นเกี่ยวกับพลังจิต หรือ พลังแห่งความคิดในสมองของเรา ทุกท่านเป็นเหมือนเราไหมค่ะ ที่ไม่เชื่อในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยตาเปล่า จนเราได้มาอ่านหนังสือเล่มนี้ ความคิดของเราก็เปลี่ยนไปสาเหตุเป็นเพราะว่า ถ้าหากเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงเรื่องที่เล่าผ่านปากของชาวบ้านเราก็คงจะนั่งหัวเราะอยู่ข้างๆพวกเขานั้นแหละค่ะ แต่กลับกันเรื่องนี้กลับบอกเล่าผ่านนักประสาทวิทยาชื่อดังชาวอเมริกาชื่อดังที่มีชื่อเสียง นามว่า ดร.โจ ดิสเพนซา เขาเริ่มเป็นที่รู้จัก เป็นครั้งแรกในฐานะหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์จากภาพยนต์สารคดีที่ได้รับรางวัลเรื่อง What the Bleep Do We Know? และผู้ที่บำบัดคนไข้อีกหลายต่อหลายคนผ่านแนวความคิดที่ใช้พลังจิตและสมาธิในการรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ จนหายเป็นปกติ และเขาเป็นบุคคลที่ค้นพบแนวทางรักษานี้ด้วยตัวของเขาเอง ก่อนที่ดร.โจ จะค้นพบวิธีการรักษาที่เรียกว่า คุณคือ " พลาซีโบ " ในช่วงอายุ 23ปี ดร.โจ ดิสเพนซา กำลังจะได้เป็นแพทย์ไคโรแพรกติก (แพทย์จัดกระดูก) แต่อยู่ๆ โชคชะตาก็เล่นตลก ทำให้เขากลับถูกรถเอสยูวีชนระหว่างงานแข่งขันไตรกีฬาที่ปาล์มสปริงส์ เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปโดยสิ้นเชิง เพราะทำให้เขาต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน เมื่อได้รับทราบผลการตรวจเลือด เอกซเรย์ ซีทีสแกน และ MRI ที่โรงพยาบาล แพทย์กระดูกที่รับการรักษาเคสของ ดร.โจ ได้แจ้งว่า กระดูกสันหลังของเขาหัก 6ข้อ และมีการบีบแตกของกระดูกลำตัวชิ้นที่ 8,9,10,11 และ 12 และส่วนเอวชิ้นที่ 1 (ตั้งแต่หัวไหล่ลงมา) นั่นส่งผลให้เขาต้องเลือก ระหว่าง ผ่าตัดใส่แท่งเหล็ก เป็นคนกึ่งพิการและมีอาการปวดเรื้อรังไปตลอดชีวิต หรือ จะเป็นอัมพาตเดินไม่ได้อีกเลย แน่นอนว่าดร.โจ เลือกทางเลือกที่สอง ด้วยความห้าวหาญเขาจึงเลือกที่จะไม่ทำตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คือ ไม่รับการเข้าผ่าตัดใส่ท่อ แต่เลือกที่จะหาทางรักษาตัวเองด้วยคือการนั่งสมาธิสร้างจินตภาพถึงกระดูกที่สมานกันเองโดยใช้เวลาประมาณ 6สัปดาห์ ที่อยู่กับตัวเอง นั่งทำสมาธิวันละ2-3 ชั่วโมง และ9สัปดาห์ครึ่งหลังจากอุบัติเหตุเขาก็หายกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติดังเดิม โดยที่ไม่ต้องใส่เฝือก หรือเข้ารับการผ่าตัดใดๆ สิ่งนี้ทำให้เขาค้นพบพลังที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในระบบประสาทสมองของมนุษย์ หลังจากนั้นเขาก็ทำการวิจัยหลายต่อหลายครั้งจนมั่นใจจริงๆ ว่า " ความคิดมีพลังอำนาจมากๆ " รีวิวโดย Anittaya ข้อที่ชอบสุดคือสไตล์การเล่าดร.โจ ไม่ใช่แค่สอนหลักทฤษฎีในตำราเพียงอย่างเดียว แต่เขาใส่กรณีศึกษาของคนป่วยที่ดูเหมือนไม่มีหวัง แล้วฟื้นตัวผ่านกระบวนการเปลี่ยนความคิด ซึ่งทำให้หนังสือมีพลังเชิงบวกและกระตุ้นให้ลองปฏิบัติจริงๆ นอกจากนี้มีเครื่องมือและขั้นตอนที่ลงมือทำได้ เช่น การทำสมาธิที่เน้นการจินตนาการและการปรับสภาวะอารมณ์ เพื่อฝึกให้ร่างกายรับสัญญาณใหม่จากจิตใจ แต่สำหรับความคิดของเรา หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือที่จะตอบทุกคำถามแบบไม่มีเงื่อนไข หนังสือมีจุดอ่อนที่ควรระวัง บางครั้งย่อยมุมมองเชิงวิทยาศาสตร์ให้เรียบง่ายจนดูเป็นการสรุปเกินเหตุ ข้อมูลบางส่วนพึ่งพาเรื่องเล่าหรือกรณีศึกษามากกว่าการทดลองแบบสุ่มควบคุม ที่เข้มงวด นั่นหมายความว่าบางกรณีที่เขานำเสนออาจเป็นการเลือกตัวอย่างที่โดดเด่น แทนภาพรวมทางการแพทย์ นอกจากนี้ มีความเสี่ยงที่ผู้อ่านบางคนอาจตีความว่าให้ทิ้งการรักษาทางการแพทย์แบบดั้งเดิม ซึ่งเราอยากเตือนว่าไม่ควรทำ ถ้าคนอ่านป่วยจริง ควรใช้แนวทางของหนังสือเป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนการรักษา สรุปว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร: เหมาะกับคนที่เปิดใจกับแนวความคิดเชิงพลังจิตและประสาทวิทยา ต้องการเครื่องมือฝึกจิตเพื่อเปลี่ยนความเคยชินด้านอารมณ์และพฤติกรรม เหมาะกับคนที่รู้สึกติดอยู่กับวงจรความคิดลบๆ และอยากลองวิธีปฏิบัติที่มีทั้งแรงบันดาลใจและขั้นตอนปฏิบัติจริง แต่ถ้าคุณต้องการหลักฐานเชิงทดลองทางการแพทย์ที่แน่นหนา หนังสือเล่มนี้อาจไม่ตอบโจทย์ทั้งหมดนะคะ ภาพปกจัดและภาพที่4 จัดทำโดย Canva และถ่ายจากหนังสือผู้เขียน ภาพประกอบ ภาพที่1,2,3,4 ถ่ายจากหนังสือผู้เขียนค่ะ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !