ประเทศไทยก็นับเป็นประเทศหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านตำราการใช้สมุนไพร และมีพืชสมุนไพรอยู่หลายชนิดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งสมุนไพรพื้นบ้านของไทยเรานั้นก็ได้รับยกย่องว่ามีสรรพคุณรักษาโรคได้หลายอาการ แต่ก็ต้องยอมรับว่าสมัยนี้พืชสมุนไพรและการใช้พืชสมุนไพรนั้น รู้จักในกันในกลุ่มแคบ ๆ เท่านั้น จึงเป็นที่น่าเป็นห่วงว่าต่อไปภายหน้า คนรุ่นหลังจะให้ความสนใจและมีความรู้เรื่องสมุนไพรน้อยลง ผู้เขียนจึงพยายามนำเสนอบทความที่เกี่ยวกับสมุนไพรต่าง ๆ เท่าที่พอจะทราบข้อมูลและหาข้อมูลได้ เพื่อนำมาบอกเล่าถึงความน่าสนใจของสมุนไพรพื้นบ้าน และช่วยกันผลักดันให้ภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากรุ่นปู่ย่าตายายให้ยังคงอยู่ และในบทความนี้ผู้เขียนจะขอนำเสนอสมุนไพรที่น่าสนใจหนึ่งชนิดนั่นก็คือ “ชำมะเลียง” ที่มีนอกจากจะเป็นสมุนไพรแล้วยังสามารถนำมารับประทานเป็นอาหารได้อีกด้วยภาพถ่ายโดยผู้เขียน“ชำมะเลียง” เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เหมาะสำหรับปลูกไว้ในบริเวณบ้าน มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสูงของต้นประมาณ 4-7 เมตรและสูงได้ถึง 8 เมตร เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลแตกเป็นร่อง ๆ ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อน มีขนสีน้ำตาล ชำมะเลียงเป็นพันธุ์ไม้ผลพื้นเมืองที่ขยายพันธุ์ได้ง่าย ทนทานต่อโรคและแมลงได้ดี โดยขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ขึ้นได้ในดินเค็ม มีการแพร่กระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ ตามป่าโปร่ง ตามแนวชายป่า หรือริมลำธาร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ มีใบย่อยประมาณ 5-7 คู่ ออกเยื้องกันเล็กน้อย ลักษณะของแผ่นใบย่อยเป็นรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือสอบเข้า ส่วนขอบใบเรียบ ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งและลำต้นมีสีขาวครีม ผลออกเป็นช่อ ๆ ในหนึ่งช่อจะมีผลเป็นพวง พวงละประมาณ 20-30 ผล ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม รูปไข่ หรือรูปไข่ถึงรูปรีป้อม ผิวผลเรียบเป็นมัน ผลสดเป็นสีเขียวอมม่วงแดง เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำ เนื้อผลฉ่ำน้ำ มีรสหวาน ใช้รับประทาน ภายในผลมีประมาณ 1-2 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ปนขอบขนาน ผิวเรียบเป็นสีดำภาพถ่ายโดยผู้เขียนสรรพคุณของ “ชำมะเลียง” สามารถใช้ แก้ท้องผูก แก้ร้อนใน แก้สันนิบาต แก้ไข้พิษ ไข้กาฬ แก้ท้องเสีย แก้เลือดกำเอาไหลตอนเด็ก ๆ นั้นผู้เขียนมักจะมีเลือดกำเดาไหลอยู่เป็นประจำ ปู่ของผู้เขียนจึงนำราก “ชำมะเลียง” มาทุบจนแหลกต้มกับผลดิบให้ผู้เขียนดื่มซึ่งต้องยอมรับว่ารสชาติขมและเฝื่อนต้องกลั้นใจดื่ม แต่เมื่อดื่มแล้วก็รู้สึกว่าอาการเลือดกำเดาไหลก็น้อยลง และไม่เป็นอีกเลย และที่ชื่นชอบคือยอดอ่อนของ “ชำมะเลียง” สามารถนำมาต้มจิ้มน้ำพริกได้ซึ่งก็มีรสชาติดีไม่แพ้ผักชนิดอื่น อีกทั้งยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยให้ไม่ท้องผูกง่าย นอกจากนี้ผมสุกยังสามารถนำมาครั้นดื่มเป็นน้ำผลไม้แก้ร้อนใน ทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยด้วยวิธีง่าย ๆ คือ ชำมะเลียงสุกงอม 1 ถ้วย, น้ำเชื่อม 1/3 ถ้วย, เกลือ 1 ช้อนชา และน้ำต้มสุกอีก 1 ถ้วยครึ่ง โดยวิธีการทำอย่างแรกให้เลือกผลชำมะเลียงที่ผลโต ๆ และสุกงอม นำมาล้างให้สะอาด ใส่ลงในภาชนะ เติมน้ำต้มสุกลงไปเล็กน้อย แล้วยีให้เมล็ดออกจากเนื้อ เติมน้ำที่เหลือลงไป กรองเอาเมล็ดและเปลือกออก หลังจากนั้นให้เติมน้ำเชื่อมและเกลือลงไปเป็นอันเสร็จ ก็จะได้น้ำชำมะเลียงสีม่วงและชิมรสชาติได้ตามชอบทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวความประทับใจของผู้เขียน ที่มีต่อสมุนไพรพื้นบ้านซึ่งปัจจุบัน “ชำมะเลียง” ก็นับว่าหายากแล้ว จึงอยากให้ทุกท่านเห็นความสำคัญและช่วยกันอนุรักษ์สมุนไพร ที่มีคุณค่าให้คงอยู่สืบต่อไปภาพถ่ายโดยผู้เขียน