คุณผู้ชมหลายท่านอาจจะเป็นสาวกของ Apple อย่างเช่นกับผมเอง และในทุกปีเหล่าสาวกของ Apple ก็ต่างเฝ้ารอคอยการเปิดตัวสินค้าและบริการใหม่ๆ มาให้เรารอเสียเงินอีกเช่นเคย โดยที่เมื่อคืนนี้ที่ผ่านมา (เวลาตี 1 วันที่ 9 มีนาคม 2565) ทาง Apple ก็ได้จัดงาน Apple Event อย่าง "Peek performance" โดยบทความของ TamKung วันนี้เราจะมาพูดกันว่า มีเรื่องอะไรน่าสนใจอะไรบ้างก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า จริงๆ แล้วทาง Apple ก็เปิดตัวสินค้าออกมาแทบจะทุกปี และแทบจะตลอดทั้งปีเลยครับ ทั้งช่วงหน้าร้อน หน้าหนาว หรือการเป็นงานพิเศษตามโอกาสต่างๆ ก็เรียกได้ว่าอาจจะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับใครหลายๆ คน แต่สำหรับสาวก Apple อย่างผมนั้น รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นงานที่ Apple จัด ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาพูดกันในส่วนของการเปิดตัวสินค้า เป็นงานเปิดตัวสินค้าประเภทของรุ่นเล็กๆ เบาๆ ไม่ได้จัดหนักมากเท่างาน Apple Event ช่วงปลายปี แต่ครั้งนี้เราก็ได้เห็นสินค้าใหม่ๆ ที่ทั้งพัฒนาตัวเก่ามาให้ดีขึ้น รวมถึงสินค้าที่ไม่คิดว่าจะทำขึ้นมากัน โดยในงานนี้มีสินค้าทั้งหมด 3 รายการหลักๆApple TV+https://www.youtube.com/watch?v=CUwg_JoNHpoตอนเริ่มงาน ทาง Apple ก็ได้ประกาศความก้าวหน้าของ Apple TV+ เล็กน้อย กับ Apple Original Film ที่ได้ทำมาหลายปี ก็ยิ่งพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งได้คว้ารางวัลตามเวทีต่างๆ มา และได้ร่วมงานกับเหล่านักแสดงมากความสามารถได้อย่างต่อเนื่องนะครับ และทาง Apple TV+ ก็ประกาศจะพัฒนา Content ต่อไป ที่จะมีทั้ง ภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี และ Aniamtion ต่อไปในอนาคตนั้นเองครับ ต่อด้วยการอัปเดตเพิ่มสีให้กับ iPhonehttps://www.youtube.com/watch?v=kV__iZuxDGEiPhone 13 และ iPhone 13 Pro ก็ได้เปิดตัวสีใหม่ อย่างสีเขียวอัลไพน์ (Alpine Green) โดยมีให้เลือกเพิ่มจากสีที่มีอยู่ 5 สี ก็ได้เพิ่มสีใหม่มาครับ ในส่วนของราคา iPhone 13 Pro ราคาเริ่มต้น 38,900 บาท และ iPhone 13 Pro Max ราคาเริ่มต้น 42,900 บาท สามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2565 และเริ่มวางจำหน่ายจริงวันที่ 25 มีนาคม 2565iPhone SE ชิป A15 Bionic ชิป A15 Bionic ที่พร้อม GPU จำนวน 6-Core และ GPU จำนวน 4-Coreรูปทรงภายนอกมีการดีไซน์ใช้กระจกและอะลูมิเนียม ที่มาพร้อมจอภาพแสดงผลแบบ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว ซึ่งเอาตรงๆ มันก็เหมือนกับ iPhone 11 Pro เลยการถ่ายภาพที่เรียกได้ว่ามีการพัฒนาขึ้น มาพร้อมกับกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด ƒ/1.8 ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่า แถมมีโหมดการควบคุมระยะชัดลึกของภาพให้เราสามารถเพิ่มลูกเล่นให้ภาพถ่ายของเรามากขึ้น รองรับภาพแบบ Smart HDR 4 และรองรับการถ่ายวิดีโอขนาด 4K สูงสุด 60 fps มาพร้อมปุ่ม Touch ID ที่คุ้นเคย และรองรับ 5G แล้ว รองรับ Wi-Fi 6 ที่เป็นมาตราฐานแบบ 802.11ax และมี NFC พร้อมโหมดตัวอ่านให้เอาไว้ใช้งานแตะและจ่ายได้สะดวกมากขึ้นครับhttps://www.youtube.com/watch?v=GByi_j-7Q2Eมี 3 สีให้เลือกคือ สีดำ สีขาวและสีแดง(Red Product) ขนาดความจุให้เลือกตั้งแต่ 64 GB - 256 GB ราคาเริ่มต้นที่ 15,900 บาท สามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2565 และเริ่มวางจำหน่ายจริงวันที่ 25 มีนาคม 2565iPad Air พร้อมชิป M1 หลังจากที่ iPad Air ใช้ชิป A14 มานานแสนนาน ครั้งนี้ได้เวลาเปลี่ยนมาเป็นชิป M1 เหมือนรุ่นพี่ iPad Pro ต่างๆ แล้ว มาพร้อมกับการอัพเกรดสิ่งต่างๆ มากมายชิป M1 ที่พร้อม CPU จำนวน 8-Core และ GPU จำนวน 8-Core แถมมี Neural Engine อีก 16-Core ที่จะช่วยให้ทำงานของ AI นั้นเร็วขึ้นในด้านการประมวลผลกราฟิกและการเล่นเกม และ RAM ขนาด 8GB ใช้งานบนระบบปฏิบัติการ iPadOS หน้าจอแบบ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว มีการเคลือบผิวป้องกันแสงสะท้อนด้วย และยังคงใช้ปุ่ม Touch ID เพื่อใช้ลายนิ้วมือของเราในการปลดล็อค iPad กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงขนาด ƒ/1.8 ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่าพร้อมฟีเจอร์อย่าง Center-Stage ที่จะช่วยให้กล้องแพนตามการเคลื่อนไหวของเราได้ แบบอัตโนมัติ และรองรับการถ่ายวิดีโอขนาด 4K สูงสุด 60 fps (มีกันสั่นใน 4K ด้วย)การเชื่อมต่อเป็น USB-C หรือ USB 3.1 รุ่นที่ 2 สามารถใช้งานกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และ Magic Keyboard ได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมรองรับ Wi-Fi 6 และในรุ่น Wi-Fi + Cellular ก็รองรับ Nano-SIM และแบบ eSim https://www.youtube.com/watch?v=I-t2mwrYc6sมีขนาดความจุให้เลือกระหว่าง 64 GB กับ 256 GB มี 2 รุ่นให้เลือกคือ รุ่น Wi-Fi ราคาเริ่มต้นที่ 20,900 บาท และรุ่น Wi-Fi + Cellular ราคาเริ่มต้นที่ 25,900 บาทมี 5 สีให้เลือก คือ สีเทาสเปซเกรย์ สีสตาร์ไลท์ สีชมพู สีม่วงและสีฟ้า ซึ่งตอนที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่ยังไม่มีการกำหนดเวลาการจำหน่ายในประเทศไทยครับiPad Air 5 vs iPad Air 4 เปรียบเทียบชัด มีอะไรน่าสนใจสินค้าตระกูล Macเปิดตัว Apple M1 Ultraก่อนอื่น ก่อนเราจะเข้าไปที่เรื่องของ Mac กัน เรามาเรื่องของชิปประมวลผลตัวใหม่ ที่พึ่งได้ประกาศอย่างเป็นทางการ อย่าง ชิป M1 Ultra ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปตัวใหม่จากตระกูล M1 Family ครับ ซึ่งผมยอมรับตรงๆ ตอนที่ดูตอนเปิดตัว ผมอึ้งมากๆ ที่เขาจะมีขั้นกว่าของชิป M1 ครับ เรียกได้ว่าเป็นตัวชิปที่เร็วของเร็วที่สุดในตระกูล M1 ทั้ง 4 ตัว ซึ่งเขาอาศัยการเอาชิป M1 Max จำนวน 2 ตัวมาเชื่อมต่อกันนั้นเอง โดยเรียกว่า "UltraFusion" และมีความเร็วการส่งข้อมูลสูงถึง 2.5TB/s มาพร้อม CPU Core รวมทั้งหมด 20-Core โดยแบ่งเป็น High-performance จำนวน 16-Core และแบบประหยัดพลังงานอีก 4-Core และ GPU อีก 64-Core รองรับ RAM สูงสุด 128 GB ที่มี Bandwidth ปริมาณการรับ และการส่งข้อมูลถึง 800GB/s และยังไม่พอ มี Neural Engine อีก 32-Core https://www.youtube.com/watch?v=ku4hl6hzRPQเรียกได้ว่าเป็นอะไรที่สุดมากๆ สมชื่อกับชื่องานอย่าง Peek performance จริงๆ เลยละครับ เพราะว่าเขาได้มีการให้ผู้ใช้งานจากหลายประเภทงานใช้ดู แล้วมันสามารถทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายขึ้น เร็วขึ้น แม้แต่การเปิดโปรแกรมก็ทำได้เพียงไม่กี่วินาที รวมถึงการ Render สำหรับงาน 3D หรืองานวิดีโอก็ดูราบลื่นไปหมด เพราะว่ามี Media Engine นั้นเอง แถมยังใช้พลังงานที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับชิปที่มีคุณภาพและความสามารถเท่ากันในตลาดโลกของเราในตอนนี้ด้วยครับมีชิปใหม่ ก็ต้องมี Mac ใหม่กับการเปิดตัว Mac ตัวใหม่ที่เป็นการผสมผสาน Mac Mini กับ iMac เข้าด้วยกันอย่างลงตัวMac Studio และจอ Studio MonitorMac Studioแน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับชิปใหม่อย่าง M1 Ultra (แต่สินค้าให้เลือกได้ระหว่างชิป M1 Max กับ M1 Ultra) ที่มาพร้อมกับประสิทธิภาพที่แรงมาก โดยมีทั้งรุ่นชิปประมวลแบบ M1 Max ที่พร้อม CPU จำนวน 10-Core และ GPU จำนวน 24-Core และ Neural Engine แบบ 16-Core มีหน่วยความจำแบบรวม(RAM) ให้เลือกขนาด 32GB ประแต่งได้สูงสุด 64GB และ SSD ขนาด 512 GB โดยปรับแต่งได้สูงสุด 8 TBและรุ่นชิปประมวลแบบ M1 Ultra ที่พร้อม CPU จำนวน 20-Core และ GPU จำนวน 48-Core และ Neural Engine แบบ 32-Core มีหน่วยความจำแบบรวม(RAM) ให้เลือกขนาด 64GB ปรับแต่งได้สูงสุด 128GB และ SSD ขนาด 1TB โดยปรับแต่งได้สูงสุด 8 TBรองรับจอภาพได้สูงสุด 5 จอ โดยจะเป็นการรองรับ Pro Display XDR สูงสุด 4 จอ(ที่ความละเอียด 6K) ผ่านพอร์ต Thunderbolt 4 (USB-C) และ จอภาพ 4K จำนวน 1 จอ ผ่านพอร์ต HDMI พอร์ตการเชื่อมต่อด้านหลังเครื่อง Thunderbolt 4 จำนวน 4 พอร์ต USB-A จำนวน 2 พอร์ต HDMI จำนวน 1 พอร์ต Eternet (ความเร็ว 10Gb/s) จำนวน 1 พอร์ต และช่องหูฟังแบบ 3.5 มม. จำนวน 1 พอร์ต พอร์ตการเชื่อมต่อด้านหน้าเครื่อง โดยสิ่งที่มีเหมือนกันคือช่องเสียบการ์ด SDXC (UHS-II) และสิ่งที่จะต่างกันคือ ในรุ่นของ M1 Max จะเป็นพอร์ต USB-C จำนวน 2 พอร์ต (สูงสุด 10Gb/s) ส่วนรุ่น M1 Ultra จะเป็น พอร์ต Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ต (สูงสุด 40Gb/s) แทนครับซึ่งขนาดตัวเครื่องจะสูง 9.5 ซม. กว้าง 19.7 ซม. น้ำหนักไม่มาก เพียง 2.7-3.6 กิโลกรัมเท่านั้นhttps://www.youtube.com/watch?v=yvX1WkFFtQIในเรื่องของความเร็วไม่ต้องพูดถึง ด้วยความเก่งของชิปประมวลผลอย่าง M1 Max และ M1 Ultra แล้วนั้น เรียกได้ว่าเร็วแรงมากๆ ทำงานอะไรก็ลื่น เร็วไปหมด ทั้งงานด้านกราฟิก ด้านเสียงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดของ Apple เลยก็ว่าได้ และมาพร้อมราคาที่ค่อนข้างจะแรงแต่คุ้มค่าสำหรับการทำงานระดับ Studio ในเครื่องเพียงเครื่องเดียวในรุ่นของชิป M1 Max เริ่มต้นที่ราคา 69,900 บาท และรุ่นของชิป M1 Ultra ราคาเริ่มต้นที่ 139,900 บาท ซึ่งตอนที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่ยังไม่มีการกำหนดเวลาการจำหน่ายในประเทศไทยครับStudio Displayจอภาพของ Apple ตัวที่ 2 ที่ออกมาพร้อมกับ Mac Studio ที่ให้เราเต็มอิ่มกับ Retina Display ขนาด 27 นิ้ว ในความละเอียดสูงถึง 5K และความสว่างสูงถึง 600 นิตทำให้จอมีความสว่างและสีที่แสดงออกมาก็ชัดเจน เพราะรองรับสีสันกว่า 1 พันล้านสีเป็นจอที่มาพร้อมของเล่นอย่างกล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 12MP พร้อมมุมมองภาพ 122องศา และรูรับแสงขนาด ƒ/2.4 รองรับฟีเจอร์ Center-Stage เหมือนบน iPad ครับ และมีลำโพงระบบ 6 ลำโพง ที่รองรับเสียงแบบ Spatial Audio หรือเสียงตามตำแหน่ง และ Dolby Atmos พร้อมด้วยไมโครโฟน 3 ตัวแบบรับเสียง 3 ทาง ทำให้การรับเสียงนั้นดีมากยิ่งขึ้น แถมให้เราเลือกฐานตั้งของจอได้ถึง 3 แบบ คือฐานตั้งที่ปรับความเอียงได้ ฐานตั้งที่ปรับความเอียงและความสูงได้ และอะแดปเตอร์ตัวยึด VESA ที่สามารถติดผนังได้ การเชื่อมต่อก็มีพอร์ต Thunderbolt 3 (USB-C) จำนวน 1 พอร์ต และพอร์ต USB-C จำนวน 3 พอร์ต รองรับอุปกรณ์ Mac ที่สามารถใช้ macOS Monterey 12.3 หรือใหม่กว่าได้ หรือจะเป็น iPad ที่สามารถใช้ iPadOS 15.4 หรือใหม่กว่าได้นั้นเองครับราคาเริ่มต้นที่ 54,900 บาท โดยจะเป็นแบบกระจกมาตรฐาน และหากเลือกเป็นกระจกแบบ Nano-Texture ก็จะเริ่มต้นที่ราคา 65,400 บาทครับนี้ก็คือสินค้าทั้งหมดที่ทาง Apple จัดงาน Peek performance ประจำปีนี้ครับ โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่า ก็มีสินค้าหลายตัวที่เรากำลังจับตามองนะครับ และผมก็รู้สึกว่าเจ้า Mac Studio มันก็น่าสนใจมากๆ ด้วยความผสมผสานระหว่าง Mac Mini กับ Mac Pro ในราคาที่เรียกได้ว่าเล็กลงแต่คุณภาพยังสุดยอด ในราคาที่จับต้องได้ เพื่อการทำงานที่พัฒนาไปอีกขั้นเลยครับ ไหนจะเป็นเรื่องของสีใหม่ของ iPhone 13 อย่างสีเขียวอัลไพน์ที่น่าจับตาของเหล่าสาวกคนชอบสีเขียวนะครับ แล้วเพื่อนๆ มีความรู้สึกอย่างไรกับสินค้าที่เปิดตัวใหม่นี้ ชอบไม่ชอบยังไง มาลองพูดคุยกันได้นะครับ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ต้องอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับหากใครต้องการรับชม Apple Keynote ย้อนหลังการเปิดตัวสินค้าในครั้งนี้ ก็สามารถเข้าไปรับชมได้ที่ท่าน Apple Event ได้ครับเครดิตรูปภาพหน้าปกรูปที่ 1 by Appleรูปที่ 2 Photo by Drew Williams from Pexelsวิดีโอประกอบบทความ - Appleวิดีโอที่ 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 ฟัง TamKung Podcast ได้ที่ Spotify Podcast | Apple Podcast | Google Podcastติดตาม TamKung ได้ที่ TamKung ติดตาม TamKungPhoto ได้ที่ #TamKungPhotoบทความที่คุณต้องลองอ่าน10 สูตรการคบเพื่อนแท้ เพื่อนที่ดี มิตรที่แท้จริงต้องเป็นยังไง?5 วิธีทำให้ Router Wifi แรงขึ้น สายฟรีก็ลองทำได้รีวิวการใช้งาน Huawei Wifi AX3 Router Wi-Fi 6 ยังน่าใช้อยู่ไหมในปี 2022เคยสงสัยไหม ทำไมเราถึงลืมรักครั้งแรกได้ยากจัง?10 สถานที่ท่องเที่ยวเชียงใหม่ ที่ต้องมาให้ได้สักครั้งหนึ่งเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !