TU ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ลดต้นทุนเพิ่มมูลค่า

#TU #ทันหุ้น - TU เล็งปี 2569 ผลงานโตต่อเนื่องจากปี 2568 เหตุมอง FX สดใส-ไร้ปัจจัย Tariffs กดดัน พร้อมตอกย้ำฐานะการเงินแกร่ง ระบุไอบีดีอีต่ำ แถมลุยทรานส์ฟอร์มธุรกิจ หวังเพิ่มขีดวามสามารถการดำเนินงานเพิ่ม พ่วงลดต้นทุนระยะยาว
นางสาวภิญญดา แสงศักดาหาญ หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า เบื้องต้นคาดว่าแนวโน้มธุรกิจในปี 2569 มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2568 เนื่องจาก มองว่าทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ในส่วนของค่าเงินบาทน่าจะอ่อนตัวมากขึ้น จากปีนี้ที่เคลื่อนไหวเฉลี่ยราว 32 บาทดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับ ปัจจัย เกี่ยวกับภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา หรือ Tariffs น่าจะเริ่มคลายลง หลังประเทศต่างๆ รวมถึงไทยบรรลุข้อตกลงอัตราภาษีในส่วนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
ฐานะการเงินแกร่ง
ขณะที่ในปี 2568 บริษัทยอมรับรายได้คงอ่อนตัวจากราว 13.5-14.5% เมื่อกับปี 2567 เพราะได้รับผลกระทบ FX และประเด็นเกี่ยวกับ Tariffs กดดันให้ความต้องการ (ดีมานด์) ของลูกค้าปรับตัวลดลง และต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น ผลมาจาก Tariffs
สำหรับฐานะการเงินของไทยยูเนี่ยนยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity หรือ “ไอบีดีอี”) อยู่ที่ 1.1 เท่า และมีอัตราหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ในระดับที่ 4.7 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถในการปรับตัวของบริษัท ในการขับเคลื่อนการเติบโตสู่อนาคต ทั้งนี้บริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Stable”
อย่างไรก็ดี ในปี 2568 บริษัทยังสามารถระดมทุนด้าน Blue Finance หรือการบริหารจัดการการเงินเพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเล มูลค่ารวมกว่า 24,000 ล้านบาท โดยนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการออกหุ้นกู้แบบผสมผสานระหว่าง Blue Bond และ Sustainability-Linked Bond ภายในธุรกรรมเดียวกัน ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม ด้วยยอดจองซื้อทะลุเป้าถึง 3.68 เท่า ส่งผลให้ TU นั้นสามารถระดมทุนจากแหล่งเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้เกินเป้าหมายปี 2568 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาว และพร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 100% ภายในปี 2573
รุกทรานส์ฟอร์ม
นอกจากนี้ ในแง่โครงการด้าน Transformation (ทรานส์ฟอร์ม) ของบริษัท ซึ่งได้แก่ โปรเจ็กต์ Sonar และ โปรเจ็กต์ Tailwind ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 โดยค่าใช้จ่ายจากโครงการดังกล่าวยังส่งผลต่อกำไรในระยะสั้น แต่ไทยยูเนี่ยนคาดว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะทยอยลดลงตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยน ยังเดินหน้าปรับโครงสร้างการบริหารงานเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนในกระบวนการผลิต การจัดซื้อ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายสุทธิ 118 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570
ส่วนผลงานไตรมาส 3/2568 ของ TU ปริมาณการขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งในระดับ 19% สะท้อนว่าบริษัทกำลังดำเนินกลยุทธ์ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ทั้งในด้านการเพิ่มความคล่องตัวของการดำเนินงาน การเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก และการต่อยอดศักยภาพการแข่งขันของแบรนด์ในพอร์ตทั้งหมดของบริษัท
โดยไตรมาส 3/2568 บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,549 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องจากกำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 ของปี 2567 นั้นอยู่ในระดับสูงเป็นพิเศษ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการบริหารพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพและต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19% ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 18.5–19.5%
ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,304 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากต้นทุนทางการเงินและภาษีที่ลดลง ซึ่งช่วยบรรเทาแรงกดดันต่ออัตรากำไรและสะท้อนความสามารถของบริษัทในการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
