รีเซต

TU ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ  ลดต้นทุนเพิ่มมูลค่า

TU ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ  ลดต้นทุนเพิ่มมูลค่า
ทันหุ้น
12 พฤศจิกายน 2568 ( 02:05 )
13

               นางสาวภิญญดา  แสงศักดาหาญ  หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU  เปิดเผยว่า เบื้องต้นคาดว่าแนวโน้มธุรกิจในปี 2569 มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2568 เนื่องจาก มองว่าทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ในส่วนของค่าเงินบาทน่าจะอ่อนตัวมากขึ้น จากปีนี้ที่เคลื่อนไหวเฉลี่ยราว 32 บาทดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับ ปัจจัย เกี่ยวกับภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา หรือ Tariffs น่าจะเริ่มคลายลง หลังประเทศต่างๆ รวมถึงไทยบรรลุข้อตกลงอัตราภาษีในส่วนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

ฐานะการเงินแกร่ง

                ขณะที่ในปี 2568 บริษัทยอมรับรายได้คงอ่อนตัวจากราว 13.5-14.5% เมื่อกับปี 2567 เพราะได้รับผลกระทบ FX และประเด็นเกี่ยวกับ Tariffs กดดันให้ความต้องการ (ดีมานด์) ของลูกค้าปรับตัวลดลง และต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น ผลมาจาก Tariffs

               สำหรับฐานะการเงินของไทยยูเนี่ยนยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity หรือ “ไอบีดีอี”) อยู่ที่ 1.1 เท่า และมีอัตราหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ในระดับที่ 4.7 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถในการปรับตัวของบริษัท ในการขับเคลื่อนการเติบโตสู่อนาคต ทั้งนี้บริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

              อย่างไรก็ดี ในปี 2568 บริษัทยังสามารถระดมทุนด้าน Blue Finance หรือการบริหารจัดการการเงินเพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเล มูลค่ารวมกว่า 24,000 ล้านบาท โดยนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการออกหุ้นกู้แบบผสมผสานระหว่าง Blue Bond และ Sustainability-Linked Bond ภายในธุรกรรมเดียวกัน ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม ด้วยยอดจองซื้อทะลุเป้าถึง 3.68 เท่า ส่งผลให้ TU นั้นสามารถระดมทุนจากแหล่งเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้เกินเป้าหมายปี 2568 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาว และพร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 100% ภายในปี 2573

รุกทรานส์ฟอร์ม

               นอกจากนี้ ในแง่โครงการด้าน Transformation (ทรานส์ฟอร์ม) ของบริษัท ซึ่งได้แก่ โปรเจ็กต์ Sonar และ โปรเจ็กต์ Tailwind ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 โดยค่าใช้จ่ายจากโครงการดังกล่าวยังส่งผลต่อกำไรในระยะสั้น แต่ไทยยูเนี่ยนคาดว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะทยอยลดลงตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยน ยังเดินหน้าปรับโครงสร้างการบริหารงานเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนในกระบวนการผลิต การจัดซื้อ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายสุทธิ 118 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570

               ส่วนผลงานไตรมาส 3/2568 ของ TU ปริมาณการขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งในระดับ 19% สะท้อนว่าบริษัทกำลังดำเนินกลยุทธ์ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ทั้งในด้านการเพิ่มความคล่องตัวของการดำเนินงาน การเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก และการต่อยอดศักยภาพการแข่งขันของแบรนด์ในพอร์ตทั้งหมดของบริษัท

              โดยไตรมาส 3/2568 บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,549 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องจากกำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 ของปี 2567 นั้นอยู่ในระดับสูงเป็นพิเศษ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการบริหารพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพและต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 19% ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 18.5–19.5%

ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,304 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากต้นทุนทางการเงินและภาษีที่ลดลง ซึ่งช่วยบรรเทาแรงกดดันต่ออัตรากำไรและสะท้อนความสามารถของบริษัทในการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง