รีเซต

ไทยยึด 11 พื้นที่หลักหลังหยุดยิง ศบ.ทก.เผยสถานการณ์ยังเปราะบาง

ไทยยึด 11 พื้นที่หลักหลังหยุดยิง ศบ.ทก.เผยสถานการณ์ยังเปราะบาง
TNN ช่อง16
29 กรกฎาคม 2568 ( 16:58 )
21

แม้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชาจะมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 แต่การดำเนินสถานการณ์บนภาคสนามยังไม่เอื้อให้เรียกได้ว่า “สงบ” อย่างแท้จริง

พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ได้แถลงต่อสื่อมวลชนเมื่อเวลา 13.40 น. ว่าประเทศไทยปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างครบถ้วนในทุกพื้นที่ แต่กลับพบว่าเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเข้าสู่เวลาที่กำหนด ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้กำลังอาวุธจริงโจมตีเข้ามาในเขตแดนของไทยอย่างต่อเนื่อง

พฤติกรรมดังกล่าว ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ตามหลักสิทธิป้องกันตนเองภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ โดยไทยยืนยันว่าทุกปฏิบัติการเป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตย ไม่ใช่การรุกราน  

การใช้โบราณสถานเป็นโล่ ละเมิดอนุสัญญายูเนสโก

ศบ.ทก. ยังเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมที่ทำให้สถานการณ์น่าวิตกมากขึ้น เมื่อปรากฏหลักฐานว่า กัมพูชาใช้โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนกับยูเนสโกเป็นที่ตั้งปืนและกำบังทางทหาร ซึ่งขัดต่อพันธะกรณีของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีพิพาท การใช้แหล่งมรดกเป็นเกราะกันการสู้รบเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมสากล แต่ยังสุ่มเสี่ยงต่อการทำลายคุณค่าทางวัฒนธรรมอันไม่อาจเรียกคืนได้

ศบ.ทก. ขอประณามพฤติกรรมดังกล่าว และย้ำว่าฝ่ายไทยให้ความสำคัญกับการคุ้มครองแหล่งประวัติศาสตร์อย่างเคร่งครัด แม้จะอยู่ในภาวะสู้รบ

ไทยรักษาควบคุมพื้นที่ 11 แห่ง

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในสมรภูมิ ศบ.ทก. แถลงว่ากองกำลังไทยสามารถรักษาความได้เปรียบไว้ในพื้นที่ชายแดนสำคัญจำนวน 11 แห่ง ได้แก่ ภูมะเขือ, ช่องอานม้า, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาควาย, ช่องบก, ปราสาทโดนตวล, สัตตะโสม, ช่องจอม, ช่องสายตะกู, พระวิหาร และพลาญยาว

พื้นที่เหล่านี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเชิงสัญลักษณ์ เป็นจุดยุทธภูมิที่เคยเป็นเขตพิพาท หรือมีประวัติการเผชิญหน้าในอดีต การรักษาควบคุมของไทยในจุดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดแรงกดดันด้านความมั่นคง แต่ยังแสดงออกถึงความมั่นใจในการปกป้องเขตแดน

ยอดอพยพทะลุ 1.8 แสนคน ระบบสาธารณสุขรับภาระเต็มที่

ขณะเดียวกัน พลเรือตรีสุรสันต์ ระบุว่าสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมยังคงตึงเครียด ยอดผู้พลัดถิ่นจากพื้นที่ปะทะสูงถึง 188,729 คน โดยมีผู้เสียชีวิตในหมู่พลเรือน 15 ราย บาดเจ็บรวม 53 ราย และมีผู้รักษาตัวในโรงพยาบาล 14 ราย

สถานพยาบาลในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง 20 แห่งต้องหยุดให้บริการอย่างสิ้นเชิง 13 แห่ง ปิดบางส่วนอีก 7 แห่ง ขณะที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลได้รับผลกระทบมากถึง 175 แห่งทั่วแนวชายแดน

ในอีกมิติที่หลายฝ่ายเริ่มตระหนักถึงมากขึ้น คือภัยคุกคามทางไซเบอร์ ศบ.ทก. เตือนว่ากำลังมีความพยายามเผยแพร่ข้อมูลเท็จผ่านปัญญาประดิษฐ์และระบบอัตโนมัติ หวังบ่อนทำลายความมั่นใจของประชาชน

ประชาชนจึงควรตรวจสอบแหล่งข่าวก่อนเผยแพร่ และหากพบเห็นความผิดปกติ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่โดยตรง โดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการติดตามและจัดการกับการโจมตีไซเบอร์

กต. เรียกร้องกัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลง

ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวย้ำว่าการหยุดยิงคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ หากแต่การหยุดยิงจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามอย่างจริงจัง

ไทยเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการใช้อาวุธโดยทันที และดูแลคนไทยที่พำนักอยู่ในประเทศกัมพูชาให้ปลอดภัย เช่นเดียวกับที่ไทยดูแลคนกัมพูชาภายในประเทศ

ท้ายที่สุด ศบ.ทก. ยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะไม่ประนีประนอมในเรื่องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ทุกมาตรการที่ดำเนินไปเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติและความปลอดภัยของประชาชน

ขณะนี้สถานการณ์ยังมีความเปราะบาง การตัดสินใจส่งผู้พลัดถิ่นกลับบ้านจะต้องอาศัยการประเมินความปลอดภัยอย่างรอบคอบ และจะมีการแจ้งประชาชนอย่างเป็นทางการทันทีเมื่อพร้อมให้เดินทางกลับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง