ใครๆก็อยากประสบความสำเร็จ แต่หนทางสู่ความสำเร็จนั้นก็ไม่ได้ปูพรมแล้วโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีอะไรเรียบง่ายเหมือนที่คิดไว้ หรือต่อให้ไม่ได้คิดเผื่อความยากไว้แล้ว ก็ยังไม่มีอะไรแน่นอนว่ามันจะไม่แย่กว่าที่คิด“การหวังไกลการมากไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่มีใคร ไม่เคยหวังไกล แล้วผิดหวัง”ผมเองก็เป็นคนที่ทำผิดพลาดมาก่อน แต่สิ่งที่ทำให้ผมเข้าใจโลกความเป็นจริงมากขึ้น คือ ความจริง 3 อย่างไม่มีคนไหน ไม่เคยทำผิด เอดิสันผู้คิดค้นไส้หลอดอันทนทาน กล่าวไว้ว่าการทดลองที่ผิดพลาดของเขานั้น คือ กระบวนการหนึ่งที่ทำให้เขาสำเร็จไม่ใช่ทุกคนที่ผิดพลาด จะเรียนรู้จากมัน เอดิสันผิดพลาดหลายครั้ง แต่เขาเรียนรู้ว่าวิธีการเดิมนั้นใช้ไม่ได้หรือยังไม่ดีพอ เขาจึงปรับปรุงส่วนผสมไส้หลอดต่อไป ทุกการเรียนรู้ ต้องปรับปรุงและพัฒนาอยู่เสมอ สิ่งต่างๆรอบตัวเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา วิธีการเดิมที่เคยดี เพียงชั่วข้ามคืนก็อาจจะไม่ดีแล้วก็ได้Mind Set หนึ่งที่ผมยึดถือ คือ From Small Win to Big Win ความสำเร็จเล็กๆนำพาไปสู่ความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้น เหมือนลูกบอลหิมะที่สะสมจนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ( Snow Ball Effect) และ ใช้มานานราวๆสิบปีได้แล้ว ผมจะขอนำประสบการณ์ของผมเอง ว่าจาก Small Win ที่ผมทำนั้น นำพาไปสู่ Big Win ได้ยังไงบ้าง“เงินเก็บ 1,000,000 บาท”ขออนุญาตยกเรื่องเงินเก็บมานะครับ เพราะคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าเงิน ไม่สำคัญ เรื่องเงินคือเรื่องสำคัญ เพราะโลกทั้งโลกใช้เงินเป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน การอยากมีเงินมากมายเป็นฝันของทุกคน ผมก็คนหนึ่งที่ฝันอยากมีเงินล้าน แต่เมื่อลองดูจำนวนเงินที่มีเพื่อเก็บในแต่ละเดือน 4,000 บาท แล้วนั้นน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับเงิน 1,000,000 บาท คำนวณออกมาคือ 0.40% แปลว่าต้องใช้เวลา 250 เดือน หรือ 21 ปี เพื่อเก็บให้ได้ 1 ล้าน !!Small Win ลำดับแรก : เงินฝากประจำ ( พ.ศ. 2554 - 2555 )จากข้างต้น ความท้อบังเกิดขึ้นมา ก็เลยคิดได้ว่าต้องหาหนทางอื่น ซึ่งยังไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง รู้จักเพียงฝากประจำ ก็เลยวางแผนว่างั้นขอ 100,000 แรกให้ได้ก่อนละกัน อย่าเพิ่งหวังเงินล้าน จึงตกลงปลงใจเลือกฝากประจำกับธนาคารเป็นระยะเวลา 24 เดือน แล้วระหว่าง 2 ปีนี้ค่อยๆศึกษาเก็บเกี่ยวความรู้เกี่ยวกับ การเก็บเงินแบบอื่น ก็ทำให้รู้จักกับ “กองทุน” และ “หุ้น” เวลาผ่านไปจนครบสองปี Small Win แรก สำเร็จ เงินก้อนแรกหนึ่งแสนบาทจากเงินฝากประจำบทเรียนจาก Small Win แรก คือได้วินัยเต็มๆ เพราะเงินฝากประจำ คือ ต้องฝากสม่ำเสมอบังคับเก็บ หากพลาดไปก็จะไม่ได้สิทธิ์ตามเงื่อนไขได้ความมั่นใจ เพราะหนึ่งแสนแรกเราทำได้แล้ว มา 1 ใน 10 ของเส้นทางแล้วนะหลังจากเหตุการณ์แรกนี้ ผมก็ปรับ Mind Set ผมเข้าสู่ การมองไปทีละแสนแทน ค่อยๆคิด ค่อยๆไป ซึ่งเหตุการณ์หลังจากนี้ผมจำตัวเลขชัดๆไม่ได้ แต่ยังจำขั้นตอนและวิธีการได้ดีเลย ลองตามกันต่อได้เลยSmall Win ลำดับสอง : กองทุนรวม ( พ.ศ. 2556 - 2563 )เหตุการณ์หลังจากนั้นก็คล้ายๆเดิม เงินที่จะสะสมในแต่ละเดือนมีมากขึ้น ประกอบกับสองปีที่ผ่านมาก็ทะยอยศึกษาเกี่ยวกับกองทุนรวมมาเรื่อยๆ จึงได้แบ่งเงินออกเป็น 2 ส่วน คือ เพื่อเก็บเงินฝาก 75% และ ลงกองทุน 25% เหตุผลที่ยังไม่ไปให้สุดกับกองทุนรวม ก็เพราะให้เป็นการทดลองไปก่อน โดยตั้งใจไว้ในระยะเวลา 2 ปีสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาสองปีแรกก็คือ การเรียนรู้ที่จะลงทุนในกองทุนรวม ตอนติดลบก็กระวนกระวาย ตอนติดบวกก็ดีใจ สลับไปมาคล้ายไบโพลาร์ ก็ค่อยๆทดลองและทำความเข้าใจไป เรียนรู้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ จนรู้จักว่ากองทุนมีกี่ประเภท , ระดับความเสี่ยง , Sector และ อื่นๆ ปีแรกถือเป็นการเรียนรู้ติดลบคือค่าครู พอเข้าปีที่สองนั้นมีความเข้าใจมากขึ้น และ ทำอะไรรอบคอบมากขึ้น เมื่อเวลาครบสองปีเงินเก็บในกองทุนไม่ได้บวกดีมากนักเมื่อเทียบกับตลาด แต่ Small Win ที่สองผมถือว่าผมสำเร็จ สำเร็จที่ผมมีความรู้พร้อมแล้ว ไม่ไก่กาแน่นอนหลังจากนั้นต่อไปอีกตลอด 5 ปี ก็เก็บสะสมเงินและปรับแผนการสะสมเงินไปเรื่อยๆ สัดส่วนเก็บเงินฝากก็ค่อยๆลดลง จนเป็นเงินฝาก 20% และ เงินกองทุน 80%บทเรียนจาก Small Win ที่สอง คือได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ว่า “ทฤษฎี กับ ปฏิบัติ” นั้นแตกต่างกันมาก ตำราเป็นเพียงไกด์ไลน์นำทาง ความเข้าใจตะหากคือตัวกำหนดว่าจะราบเรียบแค่ไหนได้เข้าใจ กลไกและรายละเอียดต่างๆ ของกองทุนรวม และ รู้ตัวว่าจะใช้มันอย่างไรSmall Win ลำดับสาม : หุ้นรายตัว ( พ.ศ. 2563 - 2564 )เข้าสู่ช่วงโควิด ก็มีอันต้องวุ่นวายเพราะตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบติดลบอย่างมาก ผมเองไม่ได้ถอนกองทุนออกมาทั้งหมดก่อนโลกจะเจอโควิด ทำให้เงินจำนวนพอควรในกองทุนติดลบหนักมาก 30-40% ของต้นทุน สิ่งตั้งใจในตอนนั้นคือ อยากจะลองบวกดูสิ บรรดาสิ่งที่เรียนรู้มาเขาบอกกันว่า จงกล้าในวันที่คนอื่นกลัว , วิกฤตคือโอกาสช่วงนั้นมีตลาดมันลบไปมากแล้ว ผมใช้เวลาศึกษา “การลงทุนในหุ้น” ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งใช้เวลาไม่นานมากที่จะทำความเข้าใจ เพราะกลไกคล้ายกับกองทุน แต่อันนี้จะเป็นหุ้นรายตัวแล้ว แน่นอนว่าเป็นหุ้นไทย ผมเองก็ใช้เวลานานมากอยู่ จนตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นในช่วง SET Thai = 1200 ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูก เมื่อรวมกับที่กองทุนติดลบไปนั้น ผมกลับติดบวกซะอีก ฉะนั้น Small Win ที่สามของผม คือ ผมไม่ขาดทุนกลับมาสู่เส้นทางเงินล้านได้ไวขึ้นและช่วงที่มีข่าววัคซีน ผมก็เริ่มกลับมาเติมเงินเข้ากองทุนอีกครั้งเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนให้กลับมาไวขึ้นบทเรียนจาก Small Win ที่สาม คือได้รู้จักหุ้น ว่าที่ว่าหุ้นเล่นแล้วเจ๊ง เป็นอะไรที่ผิด เพราะหุ้นตอนวิกฤตเศรษฐกิจนั้น ยิ่งกว่าทองคำเสียอีก ซื้อหุ้น 10 บาท ได้ปันผลปีละ 0.60 บาท ไม่รวมราคาที่ขึ้นมาแล้วตะหากอีกได้เรียนรู้ไปกับวิกฤต เพราะว่าช่วงนั้นผมค่อยๆคิด ไม่วู่วาม เรียนรู้ว่าช่วงวิกฤตควรจะทำตัวยังไง รับมือยังไง ควรถอยช่วงไหน เข้าช่วงไหนSmall Win ลำดับสี่ : หุ้นกู้-พันธบัตรรัฐบาล ( พ.ศ. 2564 - 2565 )เหมือนจะถึงเป้าหมายแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึง ปลายปี 2564 ผมทบทวนแผนตัวเองแล้วพบว่า ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ สิ้นปี 2565 ก็คงไม่ถึงเงินล้าน จะขาดอีกนิดหน่อยราวๆ 30,000 บาทนั่นหละ แต่ใจอยากเห็นเงินล้านแล้ว เลยแบ่งเงินฝากออกมาส่วนหนึ่ง ไปซื้อหุ้นกู้ไว้ เพราะการฝากเงินนั้นได้ดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี แต่หุ้นก็ให้ได้มากกว่า ผมเลือกซื้อตัว 3.00% ต่อปีไว้ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่จะไม่ถึงล้านตลอดปี 2565 ไม่มีอะไรหวือหวานักแล้ว เพราะทุกอย่างเข้าที่ไปหมดแล้ว ประสบการณ์หลายปี ทำให้ไม่มีความกังวลใดๆต่อการลงทุน แต่ก็ยังคงติดตามและตรวจแผนทุกเดือน ติดตามข่าวสารเรื่อยๆ แม้แต่ตอนสงครามรัสเซียยูเครน ก็ติดตามข่าว หุ้นโลกก็ลดลง กลับชอบซะอีกที่ราคายังไม่ไปไหนมาก เพราะจะได้ต้นทุนถูกบทเรียนจาก Small Win ที่สี่ คือได้รู้จักหุ้นกู้ ว่ามันก็ไม่ได้น่ากลัว ตัวผมเองรับอารมณ์ได้ว่ามันก็เหมือนเงินฝาก แค่อย่าไปเสี่ยงซื้อกับบริษัทที่เครดิตไม่ดี ประวัติไม่ดีก็พอความใจเย็น ฟังดูแปลกๆ แต่มันคือความใจเย็นจริงๆ กองทุนทุกวันนี้จะติดแดนลบอยู่เลย แต่ไม่ได้ตื่นตกใจเท่าช่วงโควิด นั่นเพราะคุ้นชินและเข้าใจสถานการณ์ไปแล้วBig Win 1,000,000 บาท : พฤศจิกายน 2565ราวๆ พฤศจิกายน 2565 ผมก็เข้าสู่ Big Win จนได้ ทุกๆแหล่งรวมกัน ผมมีเงินเกิน 1,000,000 บาทแล้ว จนถึงจุดนี้ ก็ไม่มีบทเรียนอะไรเพิ่มเติมแล้ว สิ่งที่จะไปต่อไปก็คือ ล้านที่สอง , ล้านที่สาม ด้วยกระบวนการเดียวกับที่ผ่านมา คือไม่หยุดเรียนรู้พร้อมปรับตัวตลอดเวลาเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำรู้ตัวว่ากำลังจะทำอะไร ผลดี ผลเสีย คืออะไรจากทั้งหมดที่ผ่านมา ผมไม่ยุ่งกับคริปโตเลย เพราะผมไม่เข้าใจในกลไกลของมัน ไม่รู้จะศึกษายังไง ซึ่งก็จะตรงตามที่ผมพิมพ์ไว้ข้างต้นนั่นหละ เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ สำหรับคริปโตคือไม่เข้าใจ ก็เลยไม่ได้ทำมันแต่ละท่านก็ลองนำไปปรับใช้งาน วางแผนเป็นรูปแบบของตนเองดูนะครับ ใช้ได้กับทุกเรื่องไม่ใช่แค่เรื่องเงิน ที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเงินเก็บนั้น เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกท่านนั่นเองสรุปประเด็นสำคัญเป้าหมายไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหน ต้องกำหนดจุด Small Win ด้วยความรู้ ความเข้าใจ คือ สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณออกแบบวิธีการเพื่อให้ผ่านแต่ละ Small Winความพร้อมปรับตัว คือ สิ่งจำเป็น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น คิดให้รอบคอบ แล้วตัดสินใจแผนสำรองสำคัญเสมอ เพราะไม่มีอะไรแน่นอนหวังว่าสิ่งนี้ จะมีประโยชน์ต่อคุณผู้อ่าน ขอบคุณที่ตามอ่านครับขอบคุณภาพและผลงานต่างๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยภาพปก : โดยผู้เขียนภาพที่ 1 : โดย Nattanan Kanchanaprat จาก Pixabayภาพที่ 2 : โดย Gerd Altmann จาก Pixabayภาพที่ 3 : โดย Gino Crescoli จาก Pixabayภาพที่ 4 : โดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !