ตอนนี้ทุกคนรู้จัก Passive income กันหมดแล้ว มันคือหนทางการหารายได้โดยไม่ต้องไปทำงานทุกวัน แค่ดูแลทรัพย์สินของเราเป็นบางช่วง แก้ปัญหาเป็นบางคราว ก็ช่วยให้เราทำงานหารายได้อย่างอื่นต่อได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินมากเกินไป โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ จะมาเจาะลึกถึงประเด็นนี้มากขึ้น เรียกว่าเป็นหนังสือในฝันของคนอยากพัฒนาตัวเองทางการเงินเลยทีเดียว เราจะได้ตั้งโจทย์ปัญหาถูก หารายได้ ลดรายจ่าย ตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริง ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.ส่วนใหญ่มักจะสร้างรายได้จากทรัพย์สิน หรือ Passive Income จาก 2 ช่องทาง 1). แปลงรายได้จากการทำงานให้กลายเป็นทรัพย์สิน 2). สร้างทรัพย์สิน โดยใช้ทรัพยากรคนอื่น - แบบแรก คือเริ่มต้นจากการทำงานปกติ บางคนอาจทำงานกินเงินเดือน บางคนอาจเป็นฟรีแลนซ์ แต่หัวใจสำคัญคือ ต้องบริหารรายได้ให้มีเก็บ มีออม จากนั้นก็ค่อยแปลงเงินออมดังกล่าวเป็นทรัพย์สิน เช่น เอาไปซื้อตราสารหนี้ (กินดอกเบี้ย) ซื้อหุ้น หรือกองทุนรวมหุ้น หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (กินปันผล) หรืออย่างแย่สุด ๆ ก็ทิ้งไว้เป็นเงินออม (กินดอกเบี้ย) ก็ยังจัดเป็นทรัพย์สินอยู่เหมือนกัน แบบที่สอง คือการเรียนรู้ที่จะใช้ทรัพยากรคนอื่น หรือ Other People's Resource (OPR) มาเป็นตัวช่วยในการครอบครองทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสด ซึ่งอาจหมายถึงการใช้เงินคนอื่นผ่านการกู้ยืมหรือหุ้นส่วน (Other People's Money : OPM) การอาศัยความเชี่ยวชาญของคนอื่นมาร่วมมือกันสร้างรายได้ (Other People's Expertise : OPE) การใช้เวลาของคนอื่นมาช่วย (Other People's Time : OPT) ฯลฯ แล้วให้ทรัพย์สินนั้นสร้างกระแสเงินสดให้กับเรา 2.หลักการของ FIRE (Financial Independence, Retire Early) คือการมีอิสรภาพทางการเงินให้ได้เร็วที่สุด เพื่อใช้ชีวิตอย่างสบายใจ มีเงินใช้ หลุดพ้นจากความกังวลเรื่องเงินก่อนถึงวัยเกษียณอายุ 60 ปี โดยให้ความสำคัญกับการโหนออมมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ควบคุมรายจ่ายให้เหมาะสม และลงทุนต่อยอดเงินที่มีอยู่ต่อไป เพื่อให้เกษียณได้เร็วกว่าตามเป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้ สมการการเก็บออมของคนกลุ่ม FIRE (Financial Independence, Retire Early) คือ รายได้ - เงินออม หรือ เงินลงทุน = รายจ่าย หรือยึดหลัก “ออมก่อนใช้” ทำให้สามารถบริหารเงินออมและควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออมก่อนใช้ทำให้เกิดวินัยทางการเงินที่ดีงาม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบรรลุเป้าหมายการเงินในระยะยาว 3.หลักการสำคัญของ FIRE (Financial Independence, Retire Early) มีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อคือ (1) กฎ 25X คือ เก็บสะสมเงินหรือทรัพย์สินให้ได้ 25-30 เท่าของรายจ่ายต่อปี (2) กฎ 4 เปอร์เซ็นต์ คือ นำเงินออกมาใช้หลังเกษียณได้ไม่เกินปีละ 4 เปอร์เซ็นต์ของเงินเก็บทั้งหมด ตัวอย่างเช่น หากปัจจุบันนายเอมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 30,000 บาท ทั้งปีก็จะคิดเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 360,000 บาท ดังนั้นเป้าหมายการเกษียณของนายเอจะเท่ากับ 360,000 บาทต่อปี คูณด้วย 25 เท่า ก็จะเท่ากับ 9,000,000 บาท (หรือถ้าต้องการสะสมเงินให้มีมูลค่า 30 เท่าของค่าใช้จ่ายรายปี ก็จะต้องสะสมเงินจำนวน 10,800,000 บาท) 4.คนที่เกษียณเร็วแบบ FIRE (Financial Independence, Retire Early) นี้กันเยอะ หัวใจสำคัญของคนที่ประสบความสำเร็จตามแนวคิดนี้คืออยู่เหมือนกัน (1) การรักษาวินัยในการโหมเก็บเงินอย่างหนัก (2) ควบคุมค่าใช้จ่ายเฉพาะที่จำเป็นอย่างเคร่งครัด (3) หารายได้เพิ่มจากหลากหลายช่องทางเพื่อเพิ่มอัตราเงินออม (4) ลงทุนสม่ำเสมอ และกล้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อผลตอบแทนที่มากกว่า มีการติดตามและวัดผลพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ 5.ในบรรดา Passive Income ทั้งหมด “ดอกเบี้ย”ถือเป็นรูปแบบหนึ่งที่คนทั่วไปคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะแทบทุกคนเคยมีรายได้จากทรัพย์สินประเภทนี้กันมาแล้ว ทั้งจากเงินฝากออมทรัพย์หรือไม่ก็เงินฝากประจำ วิธีการคิดคำนวณดอกเบี้ยก็ตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรซับซ้อน เงินต้น x อัตราดอกเบี้ย x จำนวนปี ถ้ามีเงินเยอะมากพอ (ต้องมากจริง ๆ นะ) แค่ฝากเงินกินดอกเบี้ยอย่างเดียวก็อยู่ได้สบาย 6.เงินฝากประจำ 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปีในปัจจุบัน เราต้องมีเงินฝากเท่าไหร่ถึงจะมีดอกเบี้ยมากินใช้เดือนละ 30,000 บาท หรือปีละ 360,000 บาท คำนวณง่าย ๆ จาก.... เงินต้นที่ต้องมี = ดอกเบี้ยที่ได้รับทั้งปี / อัตราดอกเบี้ย = 360,000 บาท / 0.01 (กรณีอัตราดอกเบี้ย 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี) = 36,000,000 บาท 7.ในส่วนของ Passive Income จากเงินปันผล คัดเลือกหุ้นปันผลง่าย ๆ จากงานวิจัยกลุ่มหุ้นปันผล หรือ Dividend Universe ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพัฒนาขึ้น เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุบริษัทที่มีประวัติการจ่ายปันผลดีและมีความมั่นคงทางการเงิน (สามารถลองค้นหาคำว่า “Dividend Universe” ในกูเกิลได้เลย) เกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์หุ้นปันผลในกลุ่ม Dividend Universe ประกอบด้วยปัจจัยสำคัญหลายประการ เช่น เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีผลประกอบการดี มีกำไรสุทธิต่อเนื่อง มีสภาพคล่องในการดำเนินงานโดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีและมีคะแนนบรรษัทภิบาลในระดับ “ดี” ขึ้นไป 8.สำหรับการคัดเลือกหุ้นปันผลเพื่อลงทุนคาดหวังผลตอบแทนที่ระดับ 5-7 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเท่านั้น(ในงานวิจัยมีบางหุ้นให้อัตราจ่ายปันผล 10-20 เปอร์เซ็นต์ก็ยังมี) เน้นที่การหาเงินมาลงทุนไว้มาก ๆ มากกว่าที่จะคาดหวังผลตอบแทนสูงเกินไป (เพราะต้องเผื่อความเสี่ยงไว้บ้าง)ทั้งนี้สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ การซื้อหุ้นก็เหมือนเราเป็นหุ้นส่วนกิจการ ดังนั้นถ้าจะลงทุนในหุ้นปันผล ก็ใช่ว่าจะดูแค่อัตราเงินปันผลที่จ่ายในอดีตเท่านั้น เจ้าของกิจการ (ผู้ลงทุน) ควรศึกษาและทำความเข้าใจในกิจการที่ลงทุนเป็นอย่างดี ทั้งในแง่ของสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงโอกาสและอุปสรรคของกิจการในอนาคต เพราะถ้าธุรกิจที่เราลงทุนมีความมั่นคง เราก็จะได้ Passive Income จากเงินปันผลไปอย่างยาวนาน 9.ขั้นตอนการเก็บข้อมูลลงทุนอสังหาฯและคำนวณการลงทุนแบบ Step By Step 1. ตรวจสอบรายได้ หมายถึงการตรวจสอบรายได้ทั้งหมดที่เกิดจากการครอบครองทรัพย์สินทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ค่าเช่าส่วนต่าง ค่าน้ำค่าไฟ รายได้จากเครื่องซักผ้า หรือตู้น้ำหยอดเหรียญ ฯลฯ 2. ตรวจสอบรายจ่าย หมายถึงการตรวจสอบรายจ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตัวทรัพย์สินที่เราถือครอง เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าประกันภัย ค่านายหน้า ฯลฯ โดยให้คิดเฉพาะที่เรา เป็นผู้จ่าย (ขึ้นอยู่กับข้อตกลงกับผู้เช่า) ทั้งนี้ยังไม่ต้องนำเรื่องของเงินผ่อนชำระธนาคารมาคิดรวมด้วย ให้ประเมินเสมือนชื้อด้วยเงินสด 3. คำนวณกำไรจากการดำเนินงานต่อปี (Net Operating Income : NOI) กำไรจากการดำเนินงานต่อปี (NOI) = รายรับทั้งหมด - รายจ่ายทั้งหมด หรือ = (รายรับต่อเดือน - รายจ่ายต่อเดือน) x 12 4. คำนวณราคาซื้อที่เหมาะสม โดยคำนวณจากความสามารถในการทำกำไรของตัวอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะพิจารณาจากกำไรจากการดำเนินงานต่อปี และอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่ต้องการ ตามสูตร ราคาซื้อที่เหมาะสม = กำไรจากการดำเนินงาน (NOI) / อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เราใช้เงินกู้ ผลตอบแทนขั้นต่ำที่ต้องการจึงไม่ควรน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (ต้นทุนเงินลงทุน) 10.อัตราส่วนทางการเงินตัวหนึ่งที่ใช้วัดความมีอิสรภาพทางการเงินก็คือ Financial Freedom Ratio หรืออัตราส่วนอิสรภาพทางการเงิน ซึ่งคำนวณได้ง่าย ๆ จาก ….. อัตราส่วนอิสรภาพทางการเงิน = รายได้จากทรัพย์สินรวมต่อเดือน / รายจ่ายรวมต่อเดือน โดยปกติ หากเราคำนวณแล้วพบว่าอัตราส่วนนี้มีค่ามากกว่า 1 ก็ถือได้ว่ามีอิสรภาพทางการเงิน มีบ้านเช่าก็ต้องคอยจัดการปัญหาผู้เช่า ถ้าเขาย้ายออกก็ต้องคนเช่าใหม่ มีลิขสิทธิ์ก็ต้องบริหารผลประโยชน์ของตัวเอง มีหุ้นก็ต้องติดตามผลประกอบการ ปรับพอร์ตตามสภาพกิจการ การมี Passive Income จึงไม่ได้แปลว่าไม่ต้องทำงานเลย ยังต้องทำงานอยู่ แต่งานน้อยลงไปมาก มีเวลามากขึ้น เพราะทรัพย์สินช่วยแรงทำงานแทน แบบนี้ก็ถือว่ามีทรัพย์สินคอยทำเงินให้เรา ดีกว่าไม่มีเลย...มันช่วยให้เรามีรายได้มากขึ้น ทั้งนี้เราต้องสร้างผลประโยชน์ให้กับลูกค้าของเราเป็นหลัก มันถึงจะทำเงินได้ การตั้งโจทย์โดยหวังแต่เงินอาจทำให้การสร้าง Passive Income ล้มเหลวได้ ถ้าหากไม่มีใครอยากได้สิ่งที่เราทำขึ้นมา เครดิตภาพ ภาพปก โดย onlyyouqj จาก freepik.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 โดย onlyyouqj จาก freepik.com ภาพที่ 4 โดย onlyyouqj จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ MONEY 101 เริ่มต้นชีวิตสู่การเงินอุดมสุข (ฉบับปรับปรุงใหม่) รีวิวหนังสือ YOU ARE YOUR MONEY COACH โค้ชการเงินที่ดีที่สุดคือตัวคุณเอง รีวิวหนังสือ มนุษย์เงินเดือนต้องรอด The Woke Salary รีวิวหนังสือ ปิดประตูเจ๊ง ให้ธุรกิจเฮงเฮง รีวิวหนังสือ มือใหม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ (Economics for Beginners) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !