เพาะเมล็ดพันธุ์ผัก ทำแบบไหนดี งอกเร็ว และได้ผล | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล พอพูดถึงเรื่องการปลูกผัก หลายคนชื่นชอบมากๆ และหาโอกาสปลูกผักเสมอ และคนหนึ่งที่เป็นแบบนั้นคือผู้เขียนค่ะ โดยเป็นคนที่หาทางปลูกผักมาตลอดชีวิต ไม่ว่าตอนนั้นจะอยู่ที่ไหน ต่อให้ไม่มีพื้นที่ที่เป็นดินเลย ก็ยังพยายามหาดินใส่ในกระถางและนำมาปลูกผักค่ะ และพอพูดถึงเรื่องการเพาะเมล็ดพันธุ์ ประเด็นนี้ถือว่าเป็นหนึ่งข้อหัวที่คนปลูกผักจะได้เกี่ยวข้องค่ะ โดยการเพาะเมล็ดพันธุ์ในบางสถานการณ์นี้จะหมายถึงการปลูกผัก เพราะหว่านเสร็จก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลยก็มีค่ะ ที่พอผักโตขึ้นมาสักหน่อย เราก็จะถอนออกมาเป็นผักได้ หรือถอนทิ้งหากพบว่าไม่สมบูรณ์ หรือถอนย้ายไปปลูกอื่น สำหรับผักบางชนิด ซึ่งการเพาะเมล็ดพันธุ์ทุกลักษณะผู้เขียนได้มีประสบการณ์ผ่านมาหมดแล้วค่ะ และเป็นคนมือดีมาก หว่านอะไรหรือจะเพาะอะไรก็ดูเหมือนว่าเกิดไปหมดทุกอย่าง จนน้องสาวยังงงและถามตลอดว่าได้ทำอะไรพิเศษไหม และผู้เขียนเชื่อมั่นว่า สำหรับคุณผู้อ่านเองก็น่าจะตกอยู่ในอาการคล้ายๆ กับน้องสาวของผู้เขียน คือ กลัวการปลูกผักและสงสัยตลอดว่า การเพาะเมล็ดพันธุ์ต้องทำยังไงดี และเหตุผลที่การเพาะเมล็ดเป็นประเด็นที่ทำให้หลายคนกลัว เพราะอาจมีประสบการณ์ไม่ดีในเรื่องนี้มาก่อน ที่อาจเจอว่าไม่มีอะไรงอกออกมาให้เห็นเลยหลังจากหว่านเมล็ดไปแล้ว จริงไหมคะ? โดยสถานการณ์นี้จะคลี่คลายและดีขึ้น หากคุณผู้อ่านได้ลองอ่านและทำความเข้าใจกับเนื้อหาในบทความนี้ และนำไปปรับใช้ในสถานการณ์จริงที่สวนผักค่ะ ที่รับรองว่าอาจจะไม่เคยเจอข้อมูลแบบนี้มาก่อนจากที่ไหน เพราะนี่คือข้อมูลที่น่าสนใจที่ได้จากประสบการณ์ตรง เกี่ยวกับการเพาะเมล็ดพันธุ์ค่ะ โดยเป็นข้อมูลที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ดังเนื้อหาต่อไปนี้ จากที่ผู้เขียนได้เรียนรู้มาและลองนำมาทำจริงนั้น การเพาะเมล็ดพันธุ์มีปัจจัยที่ทำให้เมล็ดพันธุ์งอกได้ค่ะ ที่ไม่ได้เป็นมายากลหรือเวทมนต์อะไรทั้งนั้น และคนทั่วไปสามารเรียนรู้ได้ค่ะ โดยปัจจัยที่สำคัญๆ เพื่อทำให้การเพาะเมล็ดพันธุ์ของเรางอกได้ดีนั้น มีดังนี้ น้ำหรือความชื้น: หลายคนยังไม่รู้ว่า เมื่อเมล็ดได้รับน้ำ เปลือกหุ้มเมล็ดจะอ่อนตัวลง ทำให้น้ำและออกซิเจนผ่านเข้าไปในเมล็ดได้มากขึ้น จากนั้นเมล็ดจะดูดน้ำเข้าไปทำให้เมล็ดพองตัวขยายขนาด และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น น้ำจะเป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ ภายในเมล็ด และมีการกระตุ้นการสร้างเอนไซม์เพื่อย่อยสลายสารอาหารที่สะสมในเมล็ด ออกซิเจน: เมล็ดขณะงอกมีอัตราการหายใจสูง ต้องการออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน ซึ่งจะนำไปใช้ในกระบวนการเมแทบอลิซึมต่างๆ ของเซลล์ อุณหภูมิ: เมล็ดพืชแต่ละชนิดต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมในการงอกแตกต่างกัน เช่น เมล็ดพืชเขตหนาวจะงอกได้ดีในช่วงอุณหภูมิ 10-20 องศาเซลเซียส แต่ก็มีบางชนิดต้องการอุณหภูมิในช่วงกลางวันและกลางคืนที่ต่างกัน หรือต้องให้อุณหภูมิต่ำสลับกับอุณหภูมิสูง การงอกจึงจะเกิดดี แสง: เมล็ดพืชบางชนิดจะงอกได้ก็ต่อเมื่อมีแสง เช่น วัชพืชต่างๆ หญ้า ยาสูบ ผักกาดหอม สาบเสือ ปอต่างๆ เป็นต้น เมล็ดพืชอีกหลายชนิดไม่ต้องการแสงในขณะงอก เช่น กระเจี๊ยบ แตงกวา ผักบุ้งจีน ฝ้าย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด เช่น ความสมบูรณ์ของเมล็ด อายุของเมล็ด และสภาพแวดล้อมอื่นๆ เช่น ดินและปุ๋ยค่ะ ปกติผู้เขียนทำการเพาะเมล็ดพันธุ์ผักในกระถางดอกไม้เก่า หมายความว่า เป็นกระถางที่มีดินเดิมๆ อยู่แล้ว ที่พืชหรือผักก่อนหน้านี้หมดอายุ แล้วเราก็เก็บทำความสะอาด แต่ไม่ได้เทดินในกระถางนั้นออกไปทิ้งที่ไหน และเชื่อไหมคะว่า เมล็ดผักงอกและงามดีมากๆ และจากที่สังเกตมาทุกครั้งนั้น พบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดีมากๆ ค่ะ จนในตอนหลังมานั่งวิเคราะห์ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และก็ได้แนะนำให้น้องสาวทำตามด้วยค่ะ และก็ได้ผลดีแบบเดียวกันเลย ซึ่งคุณผู้อ่านรู้ไหมคะว่า การที่เมล็ดผักงอกได้ดีในกระถางดอกไม้เก่า มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้เป็นเช่นนั้น ดังนี้ค่ะ สภาพดินและธาตุอาหาร: ดินในกระถางดอกไม้เก่ามีการสะสมของอินทรียวัตถุและธาตุอาหารที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของผัก ทำให้เมล็ดงอกและเจริญเติบโตได้ดี ความชื้นและระบายน้ำ: กระถางดอกไม้เก่ามักมีระบบระบายน้ำที่ดี ทำให้ดินมีความชื้นที่เหมาะสม ไม่แฉะเกินไป ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการงอกของเมล็ดและการเจริญเติบโตของราก อุณหภูมิ: อุณหภูมิในกระถางดอกไม้เก่ามีความเหมาะสมต่อการงอกของเมล็ดผัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกระถางนั้นวางอยู่ในบริเวณที่ได้รับแสงแดดเพียงพอ แสง: แสงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสังเคราะห์แสงของพืช หากกระถางดอกไม้เก่าอยู่ในบริเวณที่ได้รับแสงแดดเพียงพอ เมล็ดผักก็จะสามารถงอกและเจริญเติบโตได้ดี ไม่มีศัตรูพืช: ดินในกระถางดอกไม้เก่ามักไม่มีศัตรูพืชหรือโรคพืชที่เป็นอันตรายต่อเมล็ดผัก ทำให้เมล็ดสามารถงอกและเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: สภาพแวดล้อมโดยรวมบริเวณที่วางกระถางดอกไม้เก่า มีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของผัก เช่น อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีลมแรง หรือมีร่มเงาที่เหมาะสม นอกจากประสบการณ์ของผู้เขียนแล้ว จากที่ได้สังเกตแม่ของผู้เขียนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่สวน ผักของแม่ก็เกิดได้ดีพอสมควรค่ะ ซึ่งแม่จะมีวิธีที่แตกต่างจากผู้เขียนไปคนละแบบ และหนึ่งอย่างที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ การปิดแปลงเพาะเมล็ดพันธุ์ด้วยฟางแห้ง ซึ่งการปิดแปลงเพาะเมล็ดพันธุ์ผักด้วยฟางมีส่วนช่วยให้เมล็ดงอกได้ผลดีขึ้นได้ค่ะ ซึ่งมีเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า 1. รักษาความชื้นในดิน ฟางจะช่วยลดการระเหยของน้ำจากดิน ทำให้ดินมีความชื้นที่เหมาะสมต่อการงอกของเมล็ดอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศแห้งหรือมีแสงแดดจัด ความชื้นที่สม่ำเสมอจะช่วยให้เมล็ดดูดน้ำได้เต็มที่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการงอก 2. ควบคุมอุณหภูมิ ฟางจะช่วยเป็นฉนวนป้องกันความร้อนจากแสงแดดโดยตรง ทำให้ดินมีอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกของเมล็ด ไม่ร้อนจัดจนเกินไป ในช่วงฤดูหนาว ฟางจะช่วยรักษาอุณหภูมิในดินให้คงที่ ไม่เย็นจัดจนเกินไป ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการงอกของเมล็ดบางชนิด 3. ป้องกันการพังทลายของดิน ฟางจะช่วยลดแรงกระแทกจากน้ำ ทำให้ดินไม่ถูกชะล้างและเมล็ดไม่ถูกพัดพาไป นอกจากนี้ฟางยังช่วยป้องกันการเกิดดินดาน ซึ่งจะทำให้รากของต้นกล้าเจริญเติบโตได้ดี 4. ควบคุมวัชพืช ฟางจะช่วยคลุมดินและลดการงอกของวัชพืช ทำให้ต้นกล้าได้รับแสงแดดและอาหารอย่างเต็มที่ การลดวัชพืชยังช่วยลดการแข่งขันของต้นกล้าในการดูดน้ำและธาตุอาหาร 5. เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน เมื่อฟางย่อยสลาย จะกลายเป็นอินทรียวัตถุที่ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน ทำให้ดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี และมีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช อย่างไรก็ตามการเพาะเมล็ดโดยฝังลงดินตื้นเกินไป อาจทำให้เมล็ดงอกได้ไม่ดีเท่าที่ควรค่ะ เนื่องจากความชื้นและอุณหภูมิรอบๆ เมล็ด ไม่คงที่ ทำให้เมล็ดแห้งหรือเน่าเสียได้ง่าย นอกจากนี้เมล็ดที่อยู่ใกล้ผิวดินเกินไปอาจถูกแสงแดดโดยตรง ทำให้เมล็ดร้อนและเสียหายได้ โดยระดับความลึกที่เหมาะสมในการเพาะเมล็ดมีความแตกต่างกัน ซึ่งความลึกที่เหมาะสมในการเพาะเมล็ดจะขึ้นอยู่กับชนิดของพืชและขนาดของเมล็ด ที่โดยทั่วไปแล้วมีแนวทางง่ายๆ ดังนี้ค่ะ เมล็ดขนาดเล็ก: ควรฝังเมล็ดให้มีความลึกประมาณ 2-3 เท่าของขนาดเมล็ด หรือประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร เมล็ดขนาดกลาง: ควรฝังเมล็ดให้มีความลึกประมาณ 1-2 เซนติเมตร เมล็ดขนาดใหญ่: ควรฝังเมล็ดให้มีความลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าซื้อเมล็ดพันธุ์แบบซองมา ผู้ผลิตมักจะระบุความลึกที่เหมาะสมในการเพาะเมล็ดไว้บนซองค่ะ และในระหว่างเพาะเมล็ดพันธุ์ต้องรดน้ำให้ดินชุ่มอยู่เสมอ แต่ระวังอย่าให้น้ำขังค่ะ และทั้งหมดนั้นคือองค์ความรู้ที่ผู้เขียนได้จากประสบการณ์ตรง และนำมาสรุปเป็นข้อมูลเพื่อส่งต่อให้กับคุณผู้อ่าน ได้ลองนำไปทำตามกันค่ะ ซึ่งจากที่ผู้เขียนได้นำเทคนิคที่สำคัญๆ ไปใช้ตอนเพาะเมล็ดพันธุ์ ทำให้ตอนนี้ไม่เคยเจอปัญหานี้อีกเลยค่ะ แต่เจอว่าต้นกล้าเยอะเกินไป และไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับปลูกผักจากที่เพาะเมล็ดได้ค่ะ ซึ่งตอนนี้เมล็ดพันธุ์รอคิวอยู่น่าจะเกิน 20 ชนิดค่ะ ยังไงนั้นคุณผู้อ่านก็สามารถมีประสบการณ์เพาะเมล็ดพันธุ์แล้วเกิดดีและเกิดง่ายเหมือนกับผู้เขียนได้ และแนวทางทั้งหมดผู้เขียนก็ได้นำเสนอไว้แล้ว ซึ่งผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากชอบบทความแบบนี้อีก ก็อย่าลืมกดติดตามหรือกดบุ๊กมาร์กหน้าโปรไฟล์ไว้นะคะ เพราะจะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ ที่จะได้นำมาเผยแพร่ในเร็วๆ นี้ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปกและภาพประกอบเนื้อหาโดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกโดยผู้เขียนใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่น่าสนใจโดยผู้เขียน https://news.trueid.net/detail/MvlXVZBBd1yv https://news.trueid.net/detail/MPLJXgq6KxZW https://news.trueid.net/detail/ZG7633j6Wj7L เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !