บลจ.กสิกรไทย เปิดโผ4กองทุน รับผลตอบแทนดอกเบี้ยขาขึ้น
บลจ.กสิกรไทย คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าใกล้จุดสูงสุด ราคาตราสารหนี้ในช่วงนี้จึงยังไม่แพง มองเป็นจังหวะเข้าซื้อกองทุนตราสารหนี้ เพื่อถือรอโอกาสทำกำไรในจังหวะดอกเบี้ยขาลงได้ ผ่าน 4กองทุนตราสารหนี้แนะนำ อย่างกองทุน K-SFPLUSเน้นตราสารหนี้ระยะสั้น กองทุน K-PLAN1 เน้นตราสารหนี้ระยะกลาง กองทุน K-FIXEDPLUS-A เน้นตราสารหนี้ระยะยาว และกองทุนK-GB-A(D) ลุยตราสารหนี้ทั่วโลก ตัวเลือกกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ต
นายสุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด หรือ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)ยังมีนโยบายทางการเงินที่เข้มงวด และส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับขึ้นอีก 1-2 ครั้งภายในปีนี้
ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังชะลอตัว และบางเขตเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่จะไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าใกล้จุดสูงสุดแล้ว และคาดว่าจะปรับลดลงในระยะถัดไป
*ดอกเบี้ยตราสารหนี้ยังจูงใจ
อย่างไรก็ดี ราคาของตราสารหนี้จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นที่อัตราดอกเบี้ยยังสูง ตราสารหนี้จะมีราคาไม่แพง จึงมองเป็นจังหวะเข้าลงทุนเพื่อรอโอกาสทำกำไรในช่วงดอกเบี้ยขาลง (ตามรูปประกอบ)
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย แนะนำ 4 กองทุนตราสารหนี้ ตามเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุน ได้แก่ K-SFPLUS, K-PLAN1, K-FIXEDPLUS-A และ K-GB-A(D)
นายสุรเดช กล่าวต่อไปว่า กองทุน K-SFPLUS เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งในและต่างประเทศ อาทิ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนของไทย และเงินฝากต่างประเทศบางส่วน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพักเงินก่อนที่จะสับเปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนอื่นๆ ต่อไป โดยแนะนำให้ถือไว้อย่างน้อย 6 เดือน
ส่วนกองทุน K-PLAN1 จะเหมาะกับผู้ลงทุนที่สามารถถือได้นานขึ้นตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป กองทุนมีนโยบายที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนของไทย และเงินฝากต่างประเทศ โดยกำหนดให้ลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 20% ทั้งนี้ กองทุน K-PLAN1 มีผลการดำเนินในช่วงที่ผ่านมาโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง และได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว Morningstar (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 66)
สำหรับกองทุน K-FIXEDPLUS-A เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศ อาทิ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หุ้นกู้เอกชนของไทย และอาจมีการกระจายลงทุนบางส่วนในเงินฝากหรือตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีความมั่นคงสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความผันผวนให้กับพอร์ตในระยะยาว และสามารถลงทุนได้นานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถเลือกลงทุนK-FIXEDPLUS ในรูปแบบกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง K-FIXEDPLUS-SSF ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ กองทุนทั้ง 3 กองข้างต้น เป็นกองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในประเทศเป็นหลัก และลงทุนในต่างประเทศแบบจำกัดสัดส่วน ซึ่งหากผู้ลงทุนต้องการที่จะเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนให้ได้มากจากทั่วโลก และรับความเสี่ยงจากความผันผวนได้ ก็สามารถเลือกลงทุนใน กองทุน K-GB-A(D) ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMor
gan Funds – Aggregate Bond Fund, Class JPM Aggregate Bond I (acc) – USD เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ไม่น้อยกว่า 67% ของพอร์ต พร้อมทั้งมีนโยบายจ่ายปันผลไม่เกิน 4 ครั้ง/ปี และเป็นกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับ 4 ดาว Morningstar (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 66)
*ส่องทิศทางดอกเบี้ย
"การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งสัญญาณปรับขึ้นได้อีกเพียง 0.25%-0.50% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ไปอยู่ที่ 5.50%-5.75% เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทยที่คาดว่าจะปรับขึ้นได้อีก 0.25% ไปอยู่ที่ 2.25%ในขณะเดียวกันทิศทางเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนในหลายประเทศ" นายสุรเดชกล่าว
"ประกอบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจหลักต่างๆ อาทิ อัตราการว่างงาน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่ชะลอตัวลง สะท้อนโอกาสการเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย และความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลงในระยะถัดไป ทำให้ตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี (Investment Grade) มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้น่าสนใจกว่าตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield Bond)” นายสุรเดชกล่าว
นายสุรเดชกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทย ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดตราสารหนี้ และมองว่าตราสารหนี้ยังเป็นทางเลือกการลงทุนที่ช่วยกระจายความเสี่ยง (Asset Allocation) ให้กับพอร์ตได้ โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจกองทุน K-SFPLUS, K-PLAN1, K-FIXEDPLUS-A และ K-GB-A(D)สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาท ผ่าน App K PLUS, K-My Funds, ธนาคารกสิกรไทย หรือ ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน