ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ผมจำได้ว่าตัวเองชอบเล่นเกม Mega Man มาก ๆ บนเครื่องแฟมิคอม ภาพสีสันสดใส เสียงเพลงประกอบที่ติดหู และความท้าทายที่ทำให้หัวร้อน (ในบางครั้ง) คือสิ่งที่ผมหลงใหล ผ่านมาหลายปี เกม Mega Man ก็ยังคงมีภาคต่อออกมาเรื่อย ๆ พัฒนาไปตามยุคสมัย แต่แล้วในปี 2010 Capcom ก็ได้ปล่อย Mega Man 10 ออกมา ภาคนี้กลับไปสู่รากเหง้าของซีรีส์ ด้วยกราฟิกแบบ 8-bit เหมือนกับภาคแรก ๆ ตอนแรกผมก็แอบสงสัยว่าทำไม Capcom ถึงเลือกทำแบบนี้ แต่พอได้ลองเล่นแล้ว บอกเลยว่ามัน "ใช่" มาก ๆ ครับ เนื้อเรื่อง Mega Man 10 เล่าเรื่องราวหลังจากภาค 9 โลกที่สงบสุขกลับต้องเผชิญกับโรคระบาดชนิดใหม่ที่ชื่อว่า "Roboenza" โรคนี้ทำให้หุ่นยนต์เกิดอาการขัดข้อง ไม่เชื่อฟังคำสั่ง และที่แย่ไปกว่านั้น Roll น้องสาวของ Mega Man ก็ติดเชื้อด้วย! Dr. Light และ Dr. Wily จึงต้องร่วมมือกันเพื่อพัฒนาวัคซีน แต่แล้วเครื่องมือสำคัญในการผลิตวัคซีนก็ถูกขโมยไป ภารกิจครั้งนี้จึงตกเป็นของ Mega Man ที่ต้องออกไปกู้วิกฤตอีกครั้ง พล็อตเรื่องอาจจะไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก แต่ก็เป็นการปูพื้นฐานให้เราได้ออกไปตะลุยด่านต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละด่านก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งธีม ดนตรีประกอบ และบอสประจำด่าน ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปเล่นเกม Mega Man ในวัยเด็กเลยล่ะครับ รูปแบบการเล่น Mega Man 10 ยังคงรูปแบบการเล่นแบบคลาสสิก วิ่ง ยิง กระโดด หลบ ไม่มีระบบการเล่นใหม่ ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกมน่าเบื่อเลย การควบคุมตัวละครยังคงลื่นไหล ฉากต่าง ๆ ถูกออกแบบมาอย่างดี มีทั้งส่วนที่ต้องใช้ไหวพริบในการผ่าน และส่วนที่ต้องอาศัยความแม่นยำในการกระโดด สิ่งที่ผมชอบมาก ๆ ในภาคนี้คือความยาก มันมีความท้าทายแบบพอดี ๆ ไม่ง่ายเกินไปจนน่าเบื่อ และไม่ยากเกินไปจนทำให้หัวร้อน (แต่บางด่านก็แอบหัวร้อนอยู่เหมือนกันนะ 555) ความรู้สึกตอนที่ผ่านแต่ละด่านได้นี่มันฟินสุด ๆ ไปเลย ตัวละคร ตัวละครใน Mega Man 10 ส่วนใหญ่ก็เป็นตัวละครที่คุ้นเคยกันดี Mega Man, Roll, Dr. Light, Dr. Wily แต่ก็มีตัวละครใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาด้วย เช่น Proto Man ที่ภาคนี้มาในฐานะตัวละครที่เราสามารถเลือกเล่นได้ตั้งแต่ต้น (ภาค 9 ต้องเสียเงินดาวน์โหลดเพิ่ม) ส่วนตัวผมชอบเล่น Proto Man มากกว่า Mega Man นะ เพราะมีความสามารถในการชาร์จยิง และสไลด์ตัว ทำให้เล่นได้คล่องตัวกว่า ส่วนเหล่า Robot Master ในภาคนี้ ก็มีดีไซน์ที่หลากหลาย และมีความสามารถที่แตกต่างกันไป เช่น Sheep Man ที่สามารถปล่อยเมฆไฟฟ้า หรือ Blade Man ที่สามารถขว้างใบมีดได้ การต่อสู้กับบอสแต่ละตัวก็สนุก ต้องอาศัยการเรียนรู้แพทเทิร์นการโจมตี และหาจังหวะในการโจมตีกลับ ดนตรีประกอบ ดนตรีประกอบใน Mega Man 10 เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ผมชอบมาก ๆ เพลงแต่ละเพลงมีเอกลักษณ์ และเข้ากับบรรยากาศของแต่ละด่านได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเพลงธีมของด่าน เพลงตอนสู้บอส หรือเพลงตอนจบเกม ล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่ฟังแล้วติดหู และทำให้รู้สึก nostalgic กราฟิก อย่างที่บอกไปตอนต้น Mega Man 10 ใช้กราฟิกแบบ 8-bit ซึ่งอาจจะดูไม่สวยงามเท่าเกมยุคใหม่ ๆ แต่สำหรับผม มันกลับทำให้รู้สึกถึงเสน่ห์ของเกมยุคเก่า ภาพแบบ pixel art สีสันสดใส แอนิเมชั่นที่ลื่นไหล มันทำให้ผมนึกถึงสมัยที่ตัวเองยังเป็นเด็ก นั่งเล่นเกมอยู่หน้าจอทีวี ความประทับใจ โดยรวมแล้ว Mega Man 10 เป็นเกมที่ผมประทับใจมาก ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีระบบการเล่นใหม่ ๆ หรือกราฟิกที่สวยงามอลังการ แต่มันก็สามารถมอบความสนุก และความท้าทายได้อย่างครบถ้วน การกลับไปสู่รากเหง้าของซีรีส์ ด้วยกราฟิกแบบ 8-bit เสียงเพลงที่ติดหู และรูปแบบการเล่นแบบคลาสสิก ทำให้ Mega Man 10 เป็นเกมที่แฟน ๆ Mega Man ไม่ควรพลาด สิ่งที่อยากติ ถ้าจะให้ติ ก็คงเป็นเรื่องความยากของเกมในบางจุด ที่อาจจะยากเกินไปสำหรับผู้เล่นบางคน และความยาวของเกมที่ค่อนข้างสั้น เล่นจบได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง สรุป Mega Man 10 เป็นเกมแอคชั่น platformer ที่ยอดเยี่ยม ที่สามารถนำเสน่ห์ของเกมยุคเก่า มาผสมผสานกับความท้าทายแบบใหม่ ๆ ได้อย่างลงตัว ถ้าคุณเป็นแฟน Mega Man หรือชื่นชอบเกมแนว retro ผมขอแนะนำให้ลองเล่น Mega Man 10 ดูครับ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวัง เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !