ผู้เขียนเชื่อว่า คงจะมีหลาย ๆ คน ที่อยากจะลองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยการสมัครไป Work and Travel ที่ประเทศต่าง ๆ และหากคุณกำลังตัดสินใจว่าจะไปดีหรือไม่ ลองอ่านบทความนี้ดูนะคะ ผู้เขียนได้เรียบเรียงจากประสบการณ์ของคนที่เคยไป Work and Travel ที่ประเทศอเมริกา มาเล่าสู่กันฟัง โดยในบทความนี้จะมีการสรุปขั้นตอนการทำเอกสาร ไปจนถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการไป Work And Travel ซึ่งประสบการณ์ในที่นี้มาจากน้องสาวคนสนิทของผู้เขียนเองค่ะภาพประกอบโดย https://pixabay.com/images/id-2373727/คุณสมบัติของผู้ที่จะสามารถสมัครไป Work And Travel มีดังต่อไปนี้อายุระหว่าง 18-26 ปีสัญชาติไทย / ศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีหรือโท ภาคปกติสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี / ไม่มีโรคประจำตัว หรืออาการเจ็บป่วยที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานภาพประกอบโดย https://pixabay.com/images/id-3196481/ขั้นตอนคร่าว ๆ ในการสมัครขั้นตอนแรกคือการหาบริษัท Agency ที่จะช่วยเราทำเอกสาร โดยจะต้องพิจารณาหาบริษัทที่ไว้ใจได้ และดูน่าเชื่อถือขั้นตอนต่อไปคือการสอบวัดความรู้ทางด้านภาษา ซึ่งไม่ได้ยากเท่าการสอบวัดระดับ Toeic แต่จะเป็นการวัดภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน ว่าเราสามารถพูดคุย โต้ตอบได้อย่างเข้าใจขั้นตอนขอ Visa ทางบริษัท Agency จะรวบรวมเอกสารให้เรา เพื่อไปยื่นขอ Visa จากนั้นเราก็มาลุ้นอีกทีว่าเอกสารจะผ่านหรือไม่ พอผ่านแล้วเราก็ไปสัมภาษณ์ที่สถานทูต หากเราผ่านขั้นตอนนี้ ก็เตรียมเก็บกระเป๋าเดินทางได้เลยภาพประกอบโดย https://pixabay.com/images/id-371230/น้องเจ้าของเรื่องได้ไปอยู่ที่รัฐ North Carolina ซึ่งบ้านที่น้องได้เข้าไปอยู่นั้น เป็นบ้านหลังใหญ่สองชั้น เจ้าของบ้านเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึกและขายอุปกรณ์เกี่ยวกับทะเล โดยบ้านหลังนี้จะมีเด็กหลาย ๆ ประเทศมาทำงานที่นี่ประมาณสัก 10 คน แต่น้องถือว่าโชคดี ที่ได้พักกับเด็กไทยอีกคนหนึ่ง จึงทำให้คุยกันรู้เรื่อง และมีอะไรก็พอช่วยเหลือกันได้ งานที่ร้านไม่ได้หนักเหมือนงานร้านอาหาร แต่ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากนิสัยของเพื่อนร่วมงาน ที่มาจากหลากหลายวัฒนธรรมมากกว่า เช่นเรื่องง่าย ๆ เเบบล้างจาน เด็กที่มาจากเอเชียมักจะโดนเด็กฝรั่งโยนให้ทำเสมอภาพประกอบโดย https://pixabay.com/images/id-1031538/ประโยชน์ที่ได้ภาษาอังกฤษพัฒนาขึ้น จากแค่พอฟัง พูด แบบสื่อสารได้ แต่น้องได้สำนวน และสามารถคุยโต้ตอบกับเจ้าของภาษาได้เป็นอย่างดี และสิ่งสำคัญที่น้องรู้สึกว่าตอนอยู่ที่ไทยไม่มีสิ่งนี้ก็คือ ความมั่นใจที่จะใช้ภาษาได้อย่างไม่เขินอาย ไม่ต้องเเคร์ว่าเราจะพูดถูกหรือไม่ เพราะไม่มีใครคอยจับผิด ขอเเค่เข้าใจกันก็พอ อีกสิ่งหนึ่งก็คือประสบการณ์ชีวิต ที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ที่ไหน มันคือทักษะการใช้ชีวิต เเละการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จากเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่เคยมีพ่อแม่คอยดูแลมาตลอด กลับต้องเดินทางไปไกลอีกซีกโลก และต้องไปอยู่กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก น้องเล่าว่าเมื่อก่อนทำอาหารเองไม่เป็นเลย ตอนนี้คือสามารถทำอาหารทานเองได้ ทำให้รู้คุณค่าของเงินว่าการหาเงินใช้เองนั้นยากลำบากเพียงใด จึงช่วยให้น้องเป็นคนวางเเผนใช้เงินมากขึ้น และได้ฝึกการเข้าสังคม ฝึกความอดทนอดกลั้น เเละรู้จักระงับอารมณ์โกรธ ทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนควรได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ถึงเเม้จะยากลำบาก หรือล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง ในยามที่ไม่มีพ่อเเม่คอยประคอง เเต่สิ่งเหล่านี้จะติดตัวไปตลอดชีวิต เเละช่วยให้เราเติบโตด้วยความเเข็งเเรงภาพหน้าปกโดย https://pixabay.com/images/id-2452181/