จากกันเพียงชั่วคราวทำให้คิดถึง จากกันชั่วกาลทำให้อาลัย ชีวิตหนึ่งชีวิตได้สิ้นชั่วนิรันดร คนอยู่เท่านั้นที่จะคอยตระเตรียมถากถางทางให้พบทางสวรรค์และความสุข ห่ออนิจจาความเชื่อหลังความตายที่คนเป็นคอยส่งให้ เงินและดอกไม้เทียนคู่ เพื่อใช้ในการซื้อทางไปสวรรค์ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่รับรู้ คนอยู่ได้เห็นเป็นแนวทางปฏิบัติสืบตาม หนึ่งชีวิตที่เคยพบเจอกันทุกวัน พูดคุยกันในทุกเช้า แม้ว่าไม่ใช่คนในครอบครัว แต่คือคนรู้จักซึ่งเหมือนเป็นคนในหมู่บ้านเป็นญาติสนิทมิตรสหายกัน เมื่อไหร่ที่ทราบข่าวการจากลาต่างเดินทางมาเพื่อร่วมแสดงความอาลัย ด้วยชุดไว้ทุกขาขาวดำ ไม่มีใครอยากเจอเรื่องราวแบบนี้ แต่เหตุการณ์นี้ก็เหมือนกับที่เราห้ามฟ้าสั่งฝนไม่ได้ คนเราเองเกิดมาจากธรรมชาติพอดับลงไปก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ เปรียบร่างกายเหมือนกันกับท่อนไม้ท่อนฟืน ครั้งนี้จะพาเรียนรู้วัฒนธรรม และการปฏิบัติเมื่อหนึ่งชีวิตได้ล้มหายตายจากไป ผู้เฒ่าผู้แก่ของชาวภูไทบ้านกุดหว้า ที่ทำสืบต่อมายาวนาน ซึ่งปัจจุบันนี้ในเมืองมีการนำศพผู้ตายไปไว้ที่วัด แต่สำหรับคนภูไทบ้านกุดหว้า จะนำศพมาไว้ที่บ้าน จึงทำให้มีพิธีกรรมหลายอย่าง ให้ได้ปฏิบัติซึ่งบางศพจะเก็บไว้สองคืน หนึ่งคืน ดูตามความเชื่อจันทรคติ ถ้าหากตรงกับวันที่ไม่ดีจะต้องเก็บศพไว้ก่อน ซึ่งถ้าหากเสียชีวิตในวันที่คนภูไทรู้จักกันในวัน เดือนดับ นั่นคือวันพระใหญ่ ถือเป็นวันไม่ดี จะไม่นำศพไปเผา ต่อมาจาก เดือนดับจะเป็นหนึ่งค่ำ วันนี้จะไม่มีการนำไปเช่นกัน วันต่อจากหนึ่งค่ำ จะเรียกว่า เก้ากอง วันนี้ก็นำไปไม่ได้ จนในวันต่อมาจึงสามารถนำไปได้ โดยบางศพอาจจะต้องอยู่บ้านห้าวัน แต่ถ้าหากไม่ติดอะไรญาติพร้อม อาจจะเสียชีวิตวันนี่เอาไปพรุ่งนี้ได้ ถือเป็นเรื่องปกติ พาเวร (ทำทุกเช้าสามครั้ง) แม้จะตายจากกันไปแล้ว สิ่งที่คนอยู่ห่วงคือจะอยู่อย่างไร ทานข้าวกับอะไร จึงเกิดการทำพิธี เวรพาข้าว เพื่อส่งอาหารให้กับผู้ที่ตายไป โดยพิธีนี้จะใช้การนิมนต์พระสงฆ์ทำพิธี ซึ่งจะทำในทุกเช้า ถ้าหากเราเก็บศพไว้ที่บ้านกี่วันก็จะเวรพาข้าวให้จำนวนเท่านั้น อาหารที่ใส่ในพาเวร ส่วนมากอาหารที่ใส่ในพาเวรให้กับผู้ตายนั้นจะเป็นอาหาร ที่ผู้ตายชอบและกินเป็นประจำ หรือชอบกิน ได้ทั้งหมดคำข้าวนั้นคือข้าวที่ญาติพี่น้องปั้นแล้วใส่ฝากไปให้ ซึ่งเมื่อจัดเรียบร้อยแล้วอย่าลืมธูปหนึ่งดอก แสดงว่าให้ผู้ตายมาทานได้ นำธูป ปักไว้ที่ตรงกลางพาเวร เพื่อให้ถึงคนที่เราต้องการจะให้ การเวรพาข้าวนั้นจะมีเพียงถาดเดียว บางที่จะใช้แก้วน้ำตั้งใส่ด้วย ใช้ขวดน้ำตั้งให้ได้ แต่พอเรียกมาทานข้าว จะต้องมีการเปิดขวดน้ำให้ ซึ่งอาหารในการใส่ จะมีตั้งแต่ของแห้งผลไม้ ปิ้งย่าง ข้าวเหนียว ขนมหวานใส่ให้เพียงพอ พอใจคนใส่ อย่างนี้ถึงมีคำกล่าวที่ว่า ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ อยากทานอะไรให้หาให้คนที่เรารักทาน อย่าหาให้ตอนที่นั่งทานข้าวไม่ได้ แล้วมานั่งจุดธูปเคาะโลงให้มาทานข้าว ถึงตอนนั้นไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นแล้ว การทำฝ้ายในการสวดมนต์ เวนพาข้าว ฝ้ายนี้ที่ทำจะทำขึ้นเพื่อให้นำไปล้อมบ้านบ้างในพิธีการสวดของพระ ซึ่งหลังจากพิธีแล้วจะนำฝ้ายไปพันไว้รอบบ้านเพื่อไม่ให้วิญญาณผู้ตายเข้าบ้านได้เพราะถือว่าได้จากโลกนี้ไปแล้ว ควรตัดขาดจากกันไป ไม่สามารถเข้ามาในบ้านได้ การจับฝ้ายจากเส้นเล็กๆ ให้เป็นสามเส้น โดยการจับฝ้าย ทำให้ยาวคิดว่าสามารถรอบบ้านได้ และเผื่อใช้ในพิธีอื่นด้วย แต่ไม่มากเกินไป การทำฝ้ายจูง ฝ้ายสามารถแบ่งแยกออกมาได้จำนวนมากและจะถูกนำไปใช้ประโยชน์หลากหลาย ตั้งแต่การทำพิธีฆราวาสจนถึงพิธีสงฆ์ ซึ่งจะต้องใช้จำนวนมากนำมาผูกต่อกันให้ยาว สามารถจับได้ง่าย ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่การผูกใส่กับมือของผู้ตาย เดินนำหน้าจะเป็นพระผู้ใหญ่ต่อด้วยพระผู้น้อย จนมาถึงเณรที่บวชหน้าไฟ ถัดจากนั้นจะเป็นแม่ชีขาว และครอบครัวผู้ตาย ญาติพี่น้องใกล้เคียง ฝ้ายจึงต้องมีความยาวมากประมาณ สองร้อยเมตร เน้นยาวไว้ก่อน ถ้าสั้นจะทำให้ลำบากในการจูง ห่อผ้าอนิจจา หลังจากที่มัดเรียบร้อย ซึ่งในการทำห่ออนิจจานั้นจะต้องใช้ผ้าขาวในการห่อ ซึ่งต้องเป็นผ้าฝ้าย และด้ายจูงจะมัดและนำมาไว้ในจานเดียวกัน ซึ่งในสมัยก่อนว่าด้ายนี้จะมัดมือของผู้ตาย เรียกว่าการมัด ตราสังข์ แต่ในปัจจุบันนี้มีการใส่ศพไว้ในโลงเย็น จึงไม่จำเป็นต้องเปิดฝาโล่งและนำด้ายเข้าไปผูก ใช้โลงเย็น แต่ฝาโลงไม่ได้ปิดเพื่อให้ความเย็นลอดเข้า ฝ้ายขาวจึงวางด้านบนโลงเย็นแทน ใครกันคือผู้ทำห่ออนิจจา การทำห่ออนิจจานี้ จะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ เพราะเด็กสมัยใหม่ยังไม่ค่อยมีใครที่รู้พิธีกรรมอย่างว่า ซึ่งเมื่อมีการเสียชีวิตขึ้นชาวบ้านที่อยู่ใกล้เรือนเคียงก็จะเดินทางมาช่วยกันหลายอย่าง คนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อนจะรู้ ซึ่งการทำก็ไม้ได้ยาก ใช้เวลาน้อยเพราะทุกอย่างนั้นเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนศพเคลื่อน ซึ่งถ้าหากทำแล้วจะต้องมาวางไว้บนโลงศพ เพื่อให้หาได้ง่ายเวลาจะใช้งาน เพราะเขยเองจะเป็นคนที่มาจับสิ่งของทั้งหมด เพื่อพาผู้ตายไปสู่เชิงตะกอน สิ่งของที่อยู่ด้านใน ห่ออนิจจา นั่นคือการจัดขันธ์ห้า ดอกไม้เทียนคู่ ข้าวสาร หลังจากนั้นจะเป็นปัจจัยที่ต้องการจะส่งให้กับผู้ตาย จากญาติพี่น้องทั้งหลาย ไม่ได้ระบุจำนวนปัจจัยที่จะใส่ แล้วแต่ศรัทธา ซึ่งเชื่อว่าการใส่ปัจจัยในห่อนี้ จะส่งถึงผู้ตาย โดยใช้เม็ดข้าวในการเดินทาง ซึ่งห่อนี้เมื่อมัดรวมกันกับ ฝ้ายจูง จะนำไปวางไว้บนหัวโลงศพ เพื่อจะใช้ในวันที่พาผู้ตายสู่เมรุ ห่ออนิจจา จะทำในตอนเช้าก่อนที่พระจะมาเวนข้าว จะต้องห่อให้เรียบร้อยก่อน สิ่งที่อยู่ใน ห่อผ้าอนิจจา จะต้องเป็นผ้าสีขาวด้ายดิบ ใส่ข้าวสารประมาณหนึ่งถ้วยเล็ก หรือถ้าเป็นแก้วน้ำประมาณหนึ่งแก้วเต็ม เทใส่ตรงกลางของผ้า ตอนแรกจะใช้จานรองไว้ ธูปเทียนดอกไม้ ขันธ์5 และปัจจัย เมื่อเตรียมของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของญาติพี่น้องหรือคนที่รักในผู้ตาย จะนำปัจจัยมาทำบุญใส่ห่ออนิจจาเพื่อส่งให้กับคนที่จากไป พิธีกรรมหญิง ในหมู่บ้านมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน เบื้องหลังนั้นคือแม่ครัวจะเป็นหน้าที่ของหญิง เตรียมข้าวของทานเพื่อนำไปยังวัดต่างๆ เรื่องซองขาวให้พระสงฆ์ ถวายให้กับวัด โรงเรียน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหญิงจะเป็นคนที่จัดการทั้งหมด พิธีกรรมของชาย ชายหน้าที่หลักคือช่วงของการเคลื่อนศพ และนำศพไปยังป่าเพื่อทำการเผา ซึ่งในตอนนั้นหญิงจะอยู่ที่บ้านทำพิธีรดน้ำมนต์ที่บ้าน เพื่อรอหลังจากกลับจากเผาศพเพื่อให้ทัน เขยกลับมาทำพิธีปัดกวาด ปัดไล่สิ่งชั่วร้าย การนำพระมาทำการเวรพาข้าวให้ผู้ตาย การนิมนต์พระมาทำพิธีเวรพาข้าว ซึ่งจะนิยมนิมนต์มาจำนวนกี่รูปได้ทั้งหมด ตามเจ้าภาพว่าต้องการจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งการทำพิธีนั้นใช้เวลาไม่นาน ประมาณราวๆยี่สิบนาที พิธีสงฆ่าในหมู่บ้านจะมีการแต่งตั้งคนที่ทำพิธีจากทางหมู่บ้าน ที่เมื่อมีการตายเราแจ้งไปที่ส่วนกลาง จะมีการจัดบุคคลให้ เรื่องของพื้นที่ในงานก็เช่นกัน การจัดการโดยหน่วยงานประจำหมู่บ้านและญาติพี่น้องช่วยกัน การแต่งขันธ์ 5 สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งคือดอกไม้สดและเทียน ที่จะต้องใช้ในการแต่งขันธ์5 ไม่ว่าจะในกัณฑ์เทศ สำหรับโต๊ะหมู่บูชา จะต้องแต่งสองชุดในการทำพิธี ซึ่งจะมีเทียนและดอกไม้อย่างละ 5 คู่ เปลี่ยนทุกวัน ขันธ์น้ำมนต์ ความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่ยังคงมีอยู่ตั้งแต่สมัยพุทธกาลคือการทำน้ำมนต์ น้ำที่มีการสวดของพระสงฆ์ในพิธี ถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์สามารถที่จะล้างสิ่งที่ไม่ดีออกจากบ้านได้ ในขันธ์น้ำมนต์จะมีเทียนตั้งใส่ข้าวสาร ข้าวสารอะไรได้ทั้งหมด ใส่เพื่อทำให้เทียนตั้งอยู่ไม่ล้มลง เทียนจะตั้งอยู่ทั้งสี่มุมนั่นคือสี่ทิศ ตรงกลางคือขันธ์น้ำ และสายสิญจน์ซึ่งสายสิญจน์นี้จะนำไปผูกแขนให้กับ ลูกๆ ครอบครัว ญาติพี่น้องของผู้ตายรวมถึงเขยทุกคน เพื่อทำให้แข็งหวัน (ขวัญ) (เห้อแข็งจะเก้าแข็งหวัน) ซึ่งหมายถึงให้จิตใจเข้มแข็งอยู่กับเนื้อกับตัว คนที่จากไปถือว่าไปสบายแล้วหมดห่วง แต่คนที่ยังอยู่ต้องดิ้นรนต่อสู้กันต่อไป เพราะคนอยู่ยังมีความรักความห่วงหาอยู่ พิธีกรรมจึงเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจให้เข้มแข็งต่อไป ซึ่งการทำพิธีเหล่านี้เมื่อเราเชื่อว่าผู้ตายจะได้รับเราจะมีความสุขมากกว่าการไม่ทำแล้วมานั่งคิดว่าเราไม่ได้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้จะทำให้จิตใจหว้าวุ่น รักของคนอยู่มีให้เสมอแม้จากโลกนี้ไปแล้ว คนเรามีกันเพียงเท่านี้ ถึงแม้ว่าจะรักกันมากแค่ไหนเสียใจขนาดไหน เมื่อถึงวันที่ต้องจาก เวลาจะเป็นสิ่งที่เยียวยาในหลายๆ สิ่งครอบครัวคนรอบข้างจะมาช่วยงานให้ความอบอุ่น สานรักกันต่อไปจนกว่าชีวิตดับสิ้น ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียน (อุ้งเท้าแมว) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !