รีเซต

SPCGลุ้นโซลาร์EECเดินต่อ ดีลพันธมิตรลุยระบบESS

SPCGลุ้นโซลาร์EECเดินต่อ ดีลพันธมิตรลุยระบบESS
ทันหุ้น
23 สิงหาคม 2564 ( 02:55 )
246

 

ทันหุ้น – SPCG ลุ้นโครงการโซลาร์ EEC ขนาด 500 เมกะวัตต์ เดินหน้าต่อปีนี้ คาดเริ่ม COD เฟสแรกปลายไตรมาส 2/2565  สอดคล้องดีมานด์การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เผยตลาดโซลาร์รูฟยอดขายโตปีละ 25% รุกตลาดพรีเมียม เพิ่มสิทธิประโยชน์ช่วยลูกค้า แย้มครึ่งปีแรกมียอดปล่อยสินเชื่อแล้วกว่า 200 ล้านบาท เผยโครงการในญี่ปุ่นยังเดินหน้า พร้อมศึกษาการลงทุนใหม่ๆ ในญี่ปุ่น มั่นใจรักษารายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท

 

นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจยังเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง อย่างโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 500 เมกะวัตต์ ในพื้นที่เมืองใหม่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทต้องชะลอแผนการดำเนินงานโครงการออกไป แต่บริษัทมีความคาดหวังว่าจะโครงการจะสามารถกลับมาดำเนินการได้ภายในปีนี้

 

ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการเรื่องของที่ดินไปแล้ว และพร้อมที่จะเดินหน้าการก่อสร้าง และหากเป็นไปตามที่คาดการณ์จะสามารถทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) เฟสแรกขนาด 300 เมกะวัตต์ ได้ในช่วงปลายไตรมาส 2/2565 แต่จะเริ่มรับรู้รายได้ก่อน ในระยะแรกราว 100-150 เมกะวัตต์ ส่วนเฟส 2 กำลังการผลิต 200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะพัฒนาในช่วงระยะ 3-5 ปี สอดคล้องกับการใช้ไฟฟ้าในการพัฒนา EEC

 

*ดีลพันธมิตรลุยระบบ ESS

นอกจากนี้ ยังศึกษาที่จะนำระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System : ESS)มาใช้กับโครงการบริษัท โดยได้เตรียมลงนามสัญญา (MOU) กับพันธมิตรเร็วๆ นี้ เพื่อต่อยอดและในอนาคตบริษัทมีโอกาสที่จะพัฒนาระบบ ESS เองด้วยเพื่อรองรับการเติบโตต่อไป ซึ่งการใช้งาน ESS เป็นเทรนด์ที่จะต้องเกิดขึ้น ปัจจุบันในประเทศไทยมีหลายบริษัทที่มีการพัฒนาระบบแบตเตอรี ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะมีราคาถูกลงจนสามารถแข่งขันได้ และสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้

 

ส่วนการธุรกิจลิสซิ่งให้บริการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ในไทยในช่วงครึ่งปีแรกมีการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าไปราว 200 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่า Solar Rooftop ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ปกติแล้วยอดขายมีโอกาสเติบโต 25% ทั้งนี้บริษัทจะเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มพรีเมียม ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่มีสถานะการเงินแข็งแกร่ง และบริษัทจะมีการเสนอผลประโยชน์กับลูกค้ามากขึ้น เช่น เรื่องของสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นต้น เพื่อให้เป็นการลงทุนมีความคุ้มค่าในระยะยาว

 

ขณะที่โครงการโซลาร์ฟาร์ม Ukujima Mega Solar Project ขนาดกำลังการผลิตรวม 480 เมกะวัตต์ ยังเดินหน้าโครงการต่อเนื่อง แต่อาจจะมีความล่าช้าบ้าง เพราะสถานการณ์โควิดแต่ว่ายังคาดว่าจะ COD ได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม ปี 2566

 

พร้อมกันนี้ยังศึกษาโอกาสการลงทุนโครงการในประเทศญี่ปุ่นต่อไป เนื่องจากบริษัทมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัท โดยจะเน้นไปที่พลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก โดยได้ตั้งเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2568) จะมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 1000 เมกะวัตต์

 

*รักษารายได้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล.

ขณะที่ปีนี้บริษัทจะพยายามรักษารายได้ให้ใกล้เคียงปีก่อน ที่มีรายได้ 5,047 ล้านบาท โดยประสิทธิภาพการจ่ายไฟฟ้ายังดีต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้จำนวน 2,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายโครงการ ส่วนล่าสุดที่มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 30 สิงหาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 กันยายน 2564 อย่างไรก็ดีแม้ว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลจะลดลงบ้าง แต่เป็นการรักษาสภาพคล่องในสภาวะเช่นนี้ หากโครงการ EEC สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้แล้วมีผลประกอบการที่ดีขึ้นบริษัทเชื่อว่าจะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ในระดับที่ดีเช่นเดิม

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง