เรื่องแรกเลยคือ “มุมมองเรื่องเงิน” ค่ะ ภาพลักษณ์ของ “เงิน” ในสายตาคุณเป็นยังไง บางคนอาจรู้อยู่แล้ว แต่บางคนก็อาจจะยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มจากการทำความเข้าใจตัวเองกันค่ะ มุมมองเรื่องเงินในที่นี้คือ ความเชื่อ ทัศนคติ หรือ แม้แแต่อคติที่เรามีเกี่ยวกับเงิน ซึ่งคุณสามารถลองสำรวจตัวเองได้ด้วยการถามคำถามเหล่านี้ค่ะ ขอบคุณภาพจาก freepik.comคุณคิดว่าการหาเงินเป็นเรื่องดีหรือเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ การได้เงินมาแบบสบาย ๆ ไม่เหนื่อยยากเป็นเรื่องดีหรือไม่ คนที่หาเงินได้มาก ๆ แบบสบาย ๆ เป็นคนดีหรือคนไม่ดี หากตอบว่าการหาเงินเป็น “เรื่องดี” แสดงว่าคุณมีมุมมองที่ดีต่อเรื่องเงิน ส่วนคนที่ตอบว่าการหาเงินเป็น “เรื่องที่น่ารังเกียจ” หรือ “เรื่องไม่ดี” แปลว่าคุณมีมุมมองที่ไม่ดีต่อเรื่องเงินค่ะ คนที่ตอบคำถามด้วยเหตุผลในด้านลบคงมีอยู่ไม่น้อย เช่น การได้เงินมาแบบง่าย ๆ แบบสบาย ๆ ต้องแอบทำเรื่องไม่ดีอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ เราไม่อยากเป็นแบบคนพวกนั้นสักหน่อย...” สำหรับคนที่มีคำตอบทั้งด้านบวกและด้านลบผสมกันไป ลองถามคำถามต่อไปนี้กับตัวเองเพื่อสำรวจว่าที่จริงแล้วคุณมีมุมมองเรื่องเงินยังไงดูนะคะ หัวหน้าของคุณดูไม่ค่อยทำการสักเท่าไหร่แต่กลับได้เงินเดือนมากกว่าคุณ คุณจะคิดว่า “ดีจัง” เราอยากเป็นแบบนั้นบ้าง หรือรู้สึกโมโห ขอบคุณภาพจาก freepik.comเราเชื่อว่าคนที่รู้สึกโมโหน่าจะมีเยอะกว่าค่ะ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่ตอบว่าโมโห นั่นแสดงว่าคุณมีมุมมองที่ไม่ดีต่อเรื่องเงินค่ะ เพราะคุณมองว่า “การได้เงินมาง่าย ๆ ไม่เหนื่อยยากเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง” ถ้าคุณคิดว่า คนที่ได้เงินมาง่าย ๆ น่าหมันไส้ การแสดงออกว่าอยากได้เงินเป็นการแสดงความโลภ เงินเป็นสิ่งสกปรก คนที่กอบโกยเงินเป็นคนน่ารังเกียจ โลกนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าการหาเงิน ต้องใช้ความขยันหมั่นเพียรเท่านั้นถึงจะมีเงินมากได้ แสดงว่าคุณมีมุมมองเรื่องเงินในแง่ลบ จึงไม่แปลกที่เงินจะไม่หลั่งไหลมาหาคุณเพราะคุณกำลังปฏิเสธเงินโดยไม่รู้ตัวนั่นเองค่ะ “วิธีเป็นอยู่” ซึ่งจะทำให้ “วิธีทำ” ของคุณเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยกัน เราจะอธิบายเรื่องทางออกของเงินหรือวิธีใช้เงินอย่างละเอียดค่ะ อย่าแบ่งแยกเงินว่าเป็น “เงินสะอาด หรือ เงินสกปรก” คนเรามักมีมุมมองที่ไม่ดีต่อเรื่องเงิน เช่น คิดว่าเงินเป็นของหายาก เงินเป็นต้นเหตุของความโลภ การพูดคุยเรื่องเงินเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม การกอบโกยเงินเป็นเรื่องไม่ดี เศรษฐีเป็นคนเลว ฯลฯ ระหว่าง “คนรวยที่มีจิตใจสกปรก” กับ “คนจนที่มีจิตใจสะอาด” คุณอยากเป็นคนแบบไหน หรืออยากทำงานกับใคร ขอบคุณภาพจาก freepik.com“คนรวยที่มีจิตใจสกปรก” ในที่นี้คือคนที่ละโมบตระหนี่ถี่เหนียว คิดถึงแต่ตัวเอง หยิ่งยโส ไม่เกรงใจใครและทำเรื่องไม่ดีอยู่เบื้องหลัง แต่มีเงินมากมาย ส่วน “คนจนที่มีจิตใจสะอาด” หมายถึงคนที่ซื่อตรงและยึดถือความถูกต้อง เป็นคนที่คิดถึงผู้อื่นอยู่เสมอ ไม่ฟุ่มเฟือย ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ไม่หลงมัวเมาไปกับสิ่งยั่วยุและใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรั แต่ยากจนมาก เป็นคำถามที่ตอบยากใชไมคะ และแน่นอนว่าถ้าเลือกได้ เราก็ย่อมอยากรวมข้อดีของคนทั้งสองแบบเข้าด้วยกันให้เป็น “คนรวยที่มีจิตใจสะอาด” ถ้าคนรวยยบริจาคเงินที่ได้มาด้วยวิธีสกปรกเป็นจำนวนมาก คนคนนั้นจะถือว่าเป็นคนดีหรือคนเลว เริ่มไม่แน่ใจแล้วใช้ไหมคะว่าเขาเป็นคนดีหรือคนเลวกันแน่ เพราะเขาทำเรื่องที่ดีอย่างการบริจาคเงินให้คนจนแต่ในขณะเดียวกันก็ทำเรื่องที่ไม่ดีอย่างการหาเงินด้วยวิธีสกปรก เราคิดว่า “คนจนที่มีจิตใจสะอาด” เป็นคนดีค่ำ แต่เขาไม่มีเงิน จึงไม่สามารถทำประโยชน์ให้สังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม ขอบคุณภาพจาก freepik.comเขาทำได้แค่เพียงพูดให้กำลังใจคนที่อดอยากหิวโหยแต่ไม่อาจบริจาคเงินเพื่อช่วยบรรเทาความหิวโหยได้ ส่วน “คนรวยที่มีจิตใจสกปรก” มีเงิน จึงบริจาคเงินก้อนโตเพื่อช่วยเหลือผู้คนมากมายให้รอดพ้นจากความอดอยากได้ และยังสามารถใช้เงินทำประโยชน์ให้สังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม คุณคงไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าแบบไหนดีกว่ากันใช่ไหมคะ นั่นเป็นเพราะคุณกำลังแบ่งแยกเงินออกเป็น “เงินสะอาด” กับ “เงินสกปรก” แม้อยากได้เงิน แต่ลึก ๆ คุณก็แอบตั้งแง่กับมันและความคิดแบบนี้เองที่ทำให้เงินไม่เข้ามาหาคุณ คุณต้องปรับมุมมองซะใหม่ว่าเงินก็คือเงิน คนเราอาจมีทั้งคนที่จิตใจดีและไม่ดี แต่เงินนั้นโดยตัวมันเองแล้วเป็นวัตุที่เป็นกลาง ไม่มีเงินที่ดีกับเงินที่ไม่ได้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอามันไปใช้ยังไง คุณต้องไม่แปลกแบ่งแยกเงินที่อยู่ตรงหน้าว่าเป็น “เงินสะอาด” หรือ “เงินสกปรก” สิ่งที่คุณควรทำก็คือพยายามให้กำแวการไหลของเงินเป็นไปในลักษณะที่เข้าเยอะออกเยอะ พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำให้เงินเข้ามาเยอะ ๆ และใช้เงิน (ในทางที่ถูกต้อง) เยอะ ๆ นั่นเองค่ะ เมื่อสร้างกระแสเงินให้เป็นแบบนี้ได้แล้ว เงินจะหมุมเวียนในสังคมมากขึ้นและสุดท้ายมันก็จะหลั่งไหลกลับมากาคุณในปริมาณที่เยอะกว่าเดิม ขอบคุณภาพจาก freepik.comฟังแบบนี้คุณคงรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ใช่ไหมคะ แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ลองนึกเปรียบเทียบกับแหล่งน้ำดูก็ได้ค่ะ หากเราปล่อยให้น้ำตามแหล่งธรรมชาติอย่างแม่น้ำไหลไปเรื่อย ๆ น้ำสดใหม่จะไหลมาจากต้นน้ำอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าทุกคนอยากครอบครองน้ำเอาไว้เองเลยสร้างบ่อเก็บกักน้ำส่วนตันขึ้นเพื่อกั้นไม่ให้น้ำไหลไปที่อื่น สงครามแย่งชิงน้ำก็จะเกิดขึ้น แถมน้ำที่เก็บกักไว้ในบ่อก็เริ่มเน่าเสียและซึมหายไปในในดินอีกด้วย ในทำนองเดียวกัน ถ้าทุกคนเอาแต่เก็บเงินไว้ไม่ยอมใช้จ่ายอะไรทั้งสิ้น แน่นอนว่าเศรษฐกิจก็ย่อมจะพังพินาศจนเดือดร้อนกันไปทั่ว เรียกได้ว่าแทนที่ความเป็นอยู่ของทุกคนจะดีขึ้น กลับกลายเป็นจนลงในทุกระดับของสังคมเลยทีเดียว เราจึงไม่ควรสกัดกั้นกระแสเงินด้วยการเอาแต่เก็บออม แต่ควรรู้จักนำไปใช้จ่ายเพื่อปล่อยให้มันไหลเวียนไปที่คนอื่นบ้าง เมื่อทำแบบนี้แล้วในที่สุดเงินก็จะไหลเข้ามาหาเราเอง กลไกลของเงินมีอยู่ว่า ยิ่งใช้เงินอย่างถูกวิธีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเงินเพิ่มมากขึ้นค่ะ แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักกลไกลนี้ เพราะมันช่างแตกต่างจากสิ่งที่เคยเชื่อมาชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือค่ะ ขอบคุณภาพจาก freepik.comใคร ๆ ต่างก็คิดว่าถ้าใช้เงินแล้ว “เดี๋ยวจะหาเงินไม่ได้อีก” เดี๋ยวเงินก็หมดหรอก หรือ เดี๋ยวก็จนกันพอดี ความคิดแบบนี้นี่แหละค่ะที่ทำให้เงินไม่เข้ามา เพราะฉะนั้น ตอนนี้ให้คุณเปลี่ยนมคิดว่าก่อนว่า “เงินใช้ไปแล้วเดี๋ยวก็หาใหม่ได้” เวลาจะใช้เงินคุณต้องมีความคิดแบบนี้ค่ะ จริงอยู่ว่าเรื่องที่เราพูดฟังดูค่อนข้างเหลือเชื่อ แต่เราขอยืนยันว่านี่คือ “วิธีคิดของคนที่มีเงินใช้ไม่ขัดสน” ค่ะ สรุปคือ ...” เงินจะไม่เข้าหาคุณถ้าคุณมี “อคติ” กับมัน เช่น เงินเป็นต้นเหตุของความโลภ การพูดคุยเรื่องเงินเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม หรือคนที่หาเงินได้มาก ๆ น่าจะแอบทำเรื่องไม่ดีอยู่เบื้องหลัง ลองคิดคิดหา “ทางออกของเงิน” เช่น ใช้เงินเพื่อทำประโยชน์ต่อสังคม ไม่ใช่คิดหา “ทางเข้าของเงิน” อย่างเดียวค่ะ อย่าแบ่งแยกเงินออกเป็น “เงินสะอาด” กับ “เงินสกปรกฎ เมื่อทำให้กระแสของเงินหมุนเวียนโดยการใช้จ่ายไปเรื่อย ๆ เงินก็จะไหลกับมาหาเราเอง ยิ่งใช้เงินอย่างถูกวิธีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเงินเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ลองใช้วิธีคิดของ “คนที่มีเงินใช้ไม่ขัดสน” ค่ะ ขอบคุณภาพปกจาก freepik.com