Black Swan ที่เกิดขึ้นกับ F1 ในปี 2020 ความท้าทายในโลกของรถสูตรหนึ่ง ก่อนฤดูกาล 2020 เริ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ไม่ว่าจะเป็นซีซันสุดท้ายของ Mercedes F1 Team ที่ต้องการนำเงินลงทุนไป พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแทน รวมถึงการมาของ “ฮานอยกรังด์ปรีซ์” ครั้งแรกในประเทศเวียดนาม แต่ที่ได้กล่าวมา..ก็เข้าความเป็น Black Swan ซะแล้ว.. แล้ว Black Swan ที่ว่านี้คืออะไร ? มีความเกี่ยวข้องกับวงการ F1 อย่างไร ? Black Swan ก็คือทฤษฎีที่ว่าด้วย.. “เหตุการณ์ไม่คาดฝัน เหตุการณ์ที่มีผลกระทบมหาศาลเมื่อเกิดขึ้น และหลังจากเหตุการณ์จะมีเหตุผลมาอธิบายได้ว่า เกิดขึ้นจากอะไร..” สำหรับวงการ F1 โลกมอเตอร์สปอร์ตที่มี มูลค่ามากที่สุดในโลก แน่นอนว่าผลกระทบที่ได้รับจากโคโรนาไวรัส นั้นมหาศาลแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้น หลายทีมคาดหวังว่าจะได้ ขึ้นแท่นอันดับสูงสุด เปิดฝาแชมเปญ พร้อมทั้งชูธงชาติของตนเอง แต่แล้วโรคระบาดก็เข้ามาขัดขวางโดยที่ไม่ทันตั้งตัว หลายทีมลงทุนไปมหาศาล.. อย่างเช่น Mercedes F1 Team ทีมอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน ที่วางเงินไปมากกว่า 484 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1.57 หมื่นล้านบาท รองลงมาเป็น Ferrari F1 Team ลงทุนไป 463 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และอันดับสามเป็น Redbull F1 Team ที่ลงทุนไป 445 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1.44 หมื่นล้านบาท แน่นอนว่าไม่มีทีมไหน ไม่อยากคว้าแชมป์ Mercedes เองก็คาดหวัง กับฤดูกาลสุดท้ายไว้มาก (แต่สถานการณ์เช่นนี้ อาจมีอีกซีซันหรือเปล่า ? ยังไม่แน่..) ส่วน Ferrari ก็ไม่ต่างกัน ยิ่งเป็น Redbull กระทิงดุที่เว้นว่างจากการเป็นแชมป์นานหลายปี แม้จะเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มอยู่แล้ว ความดุดันยิ่งทำให้กระหายต่อการเปิดฝาแชมเปญ และส่วนที่สำคัญสุดคือพาร์ทเนอร์ที่อยู่เบื้องหลัง ผู้สนับสนุนเม็ดเงินให้กับทีมใช้ลงทุนในกรังซ์ปรีด์ ตอบแทนด้วยการนำตราของแบรนด์ไปโปรโมทต่อหน้าผู้คนกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก ในการแข่งขัน..แต่ละครั้ง แต่แล้ว..โคโรนาไวรัสก็ได้เข้ามา เพิ่มระยะห่างทางสังคม และเพิ่มระยะห่างระหว่างทีมกับสนามไปด้วย เมื่อไม่มีการแข่งขัน การโปรโมท ก็ไม่เกิดขึ้น คำถามก็คือ.. นักลงทุนเหล่านั้นยังต้องวางเม็ดเงินกับพาร์ทเนอร์อยู่หรือไม่ ? ในขณะที่ที่หลายบริษัทก็ได้รับ ผลกระทบจากวิกฤติ..เหมือนกัน เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเหล่านี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ FIA ยกเลิก ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ไป และก็ตามมาด้วยการเลื่อนการแข่งขัน ในกรังซ์ปรีด์อื่น ๆ ออกไปโดยไม่มีกำหนด หลายปัจจัยเข้าข่ายความเป็น Black Swan บางเหตุการณ์ไม่มีสิ่งใดมาบอกกล่าวล่วงหน้า บางเหตุการณ์ก็พาผลกระทบเข้ามาสู่ทีม จนหลายทีมตอนนี้ กำลังตกที่นั่งลำบาก ในเรื่องของสภาพคล่องทางการเงิน นอกจากนั้นแล้ว เหตุการณ์ที่อาจเป็นเรื่องใหม่ ที่รีเฟรชวงการ F1 ไปทั้งหมด ก็คือ.. การเรียกร้องจากหลายทีมให้ฤดูกาล 2021 มีการจำกัดเม็ดเงินในการลงทุนของทีม ซึ่งตอนแรกตกลงกันไว้ที่ 150 ล้านเหรียญ และลดหลั่นมาที่ 145 ล้านเหรียญ ในขณะที่หลายฝ่ายต้องการ ให้ลดลงเหลือ 100 ล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สแตนดาร์ด ถูกวางไว้ที่ 145 ล้านเหรียญ นั่นหมายความว่า ซีซัน 2021 หากไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ละทีมจะได้รับการพัฒนาด้วยเม็ดเงิน ที่จำกัดแค่ ประมาณ 4.7 พันล้าน และความเป็นหนึ่งจะวัดกันที่ ศักยภาพของทีม รวมถึงการพัฒนา ของแต่ละค่ายว่าใครจะเหนือกว่ากัน ส่วนเม็ดเงินอื่น ๆ จะเป็นรายได้ ซึ่งเป็นสัดส่วนผลกำไรของทีม ในข้อดีอาจจะสร้างความมั่งคั่ง ให้แต่ละทีมมากขึ้น อีกทั้ง ยังอาจสร้างความดุเดือด ที่เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว..มากขึ้นก็ได้นี่เพียงแค่ครึ่งปีแรกของ 2020 และอยู่ในระหว่างกรังซ์ปรีด์แรก ๆ ที่ไม่ถูกจัดขึ้น แต่ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หรือจะต้องรอกรังด์ปรีซ์แรกของ ซีซัน 2020 ไปอีกนานแค่ไหน ..ถึงกระนั้น รถสูตรหนึ่ง หรือฟอมูลาร์วัน ก็ยังคงเป็น หนึ่งในการวัดความเร็ว เสน่ห์บนสนามที่ใคร ๆ หลายคนยังหลงรัก.. และให้การติดตามกันอยู่ตลอด..จริงไหม Credit Picture 1: Link / 2: Link / 3: Link / Cover Picture: Link ............................................................. ส่งต่อทุกแรงบันดาลใจ Share For Inspire Follow Us On “Facebook” Follow Us On “Line” Copyright By Swivel อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Swivel *บทความนี้ได้รับลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Swivel On Blockdit จริง