ทุกวันนี้คงจะปฏิเสธไม่ได้นะครับว่า e-Commerce นั้นได้รับความนิยมมากในประเทศไทย ทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าทำได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตมาก เพียงแค่กดปลายนิ้วไปยัง Lazada Shopee Facebook หรือแพลตฟอร์มขายของออนไลน์อื่น ๆ เพียงเท่านี้สินค้นที่คุณสั่งมาก็จะมาส่งถึงหน้าบ้านของคุณแล้ว แต่ว่าถ้าคุณเป็นพ่อค้าแม่ค้าล่ะ ถ้าจะเลือกบริษัทขนส่งที่จะส่งสินค้าของคุณให้ลูกค้านั้นในตอนนี้มีมากมายหลายบริษัทมาก และหนึ่งในบริษัทขนส่งที่เก่าแก่ที่สุดและยังได้รับความนิยมอยู่ก็คงจะหนีไม่พ้นบริษัทไปรษณีย์ไทย รัฐวิสากิจเก่าแก่ที่คอยช่วยเหลือการค้าขายออนไลน์มาก่อนเพื่อน แต่เมื่อเราคิดจะไปส่งของกับไปรษณีย์ไทยนั้นจะแตกต่างจากเจ้าอื่น ๆ อยู่อย่างนั้น นั่นก็ คือ มีบริการการส่งที่หลากหลายมากกว่าคู่แข่งมาก ไม่ว่าจะเป็นไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) ไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือพัสดุไปรษณีย์ ซึ่งแต่ละแบบก็มีความแตกต่างกัน ส่วนที่ว่าแต่ละบริการนั้นแตกต่างกันอย่างไรและเหมาะสมกับการส่งแบบไหน ก็มาติดตามกันต่อได้เลยครับ1.ไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) บริการนี้ถือว่าเป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันนี้ เนื่องจากว่าเป็นการส่งของแบบด่วน สามารถส่งถึงผู้รับของได้ภายใน 0 - 2 วันเลยทีเดียว บางคนอาจจะสงสัยว่า 0 วัน คืออะไร มันก็คือบริการ Same Day ที่จะส่งของก่อนเวลา 11.00 น. ในกทม.และปริมณฑล แล้วของจะส่งให้ถึงผู้รับในวันเดียวกันเลย ซึ่งถือว่าเป็นมิติของไปรษณีย์ไทยเลยก็ว่าได้ หรือบริการ Next Day ที่จะต้องส่งของก่อนเวลาที่กำหนด แล้วของจะส่งถึงผู้รับในวันถัดไปเลย เรียกได้ว่าลืมไปรษณีย์ไทยแบบเก่า ๆ ไปเลยว่าส่งช้า ไม่ทันสมัย แต่มาตอนนี้ส่งได้รวดเร็วไม่แพ้คู่แข่งเลย นอกจากนี้ยังสามารถติดตามสถานะของได้ทุกขั้นตอนแบบละเอียด ทำให้ไม่พลาดความคืบหน้าของพัสดุก่อนถึงมือผู้รับได้อีกด้วย และถ้าใครยังมีข้อสงสัยหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ https://www.thailandpost.co.th/un/article_detail/product/543/852.ไปรษณีย์ลงทะเบียน (Registed/eCo-post) สำหรับการส่งของแบบลงทะเบียนก็จะมีความเร็วปานกลางเมื่อเทียบกับอีเอ็มเอส มักจะใช้เวลา 2-5 วันกว่าจะถึงปลายทาง แต่ว่าจะมีราคาที่ถูกกว่าพอสมควรเลย แล้วตอนนี้ยังมีบริการที่คล้ายกับลงทะเบียนที่เรียกว่า eCo-post ที่จะทำให้ส่งของแบบทะเบียนได้สูงสุดถึง 10 กิโลกรัม ดังนั้นถ้าใครที่ต้องการส่งของแบบไม่ด่วนมาก ผมก็แนะนำบริการลงทะเบียนครับ ราคาค่าส่งประหยัดกว่าประมาณครึ่ง ๆ เวลาถึงผู้รับก็ช้ากว่าอีเอ็มเอสนิดหน่อย แถมยังสามารถติดตามสถานะได้เหมือนกัน (แต่ว่าไม่ละเอียดแบบอีเอ็มเอส คือ จะเห็นสถานะเฉพาะตอนส่งต้นทางและตอนของถึงปลายทางเท่านั้น) ถ้าใครยังมีข้อสงสัยหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ https://www.thailandpost.co.th/un/article_detail/product/542/11752 และ https://www.thailandpost.co.th/un/article_detail/product/542/20053.พัสดุไปรษณีย์ (Parcel) สำหรับพัสดุไปรษณีย์ที่มาท้ายที่สุดก็คงทำให้หลายคนเดาได้ว่ามันเป็นบริการที่มีความรวดเร็วในการจัดส่งช้าที่สุด เมื่อเทียบกับด่วนพิเศษและลงทะเบียน ใช้เวลาใกล้เคียงกับแบบลงทะเบียน แต่บางครั้งก็อาจจะช้ากว่านิดหน่อย เพราะพัสดุไปรษณีย์นั้นเหมาะกับการส่งของที่มีขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก (ของเล็ก น้ำหนักเบาก็ส่งได้นะ) ทำให้ที่ราคาค่าส่งถูกที่สุด เมื่อเทียบกับสองบริการก่อนหน้านี้ และพัสดุไปรษณีย์ไม่สามารถติดตามสถานะได้เหมือนด่วนพิเศษและลงทะเบียน ต้องสามารถให้ทางสาขาของไปรษณีย์ไทยเช็คให้ได้แทนครับ และพัสดุไปรษณีย์มีค่าชดใช้ค่าเสียหายสูงสุดที่ 1,000 บาท น้อยกว่าแบบด่วนพิเศษและ eCo-post แต่มากกว่าแบบลงทะเบียน ถ้าใครยังมีข้อสงสัยหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ https://www.thailandpost.co.th/un/article_detail/product/542/72 สุดท้ายนี้บริการของไปรษณีย์ไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบด่วนพิเศษ ลงทะเบียน หรือพัสดุไปรษณีย์ มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน มันขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการบริการแบบไหน ความรวดเร็วเท่าไร ตรวจสอบได้ไหม และมีงบค่าส่งเท่าไร ตรงนี้คุณก็ต้องเลือกเอาเองครับว่าตัวเองเหมาะกับบริการแบบไหน แต่ว่าถ้ายังตัดสินใจไม่ได้หรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถโทรไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ของไปรษณีย์ไทยที่เบอร์ 1545 ได้เลยครับ