ก่อนจะเข้าเรื่องอื่นใด ผมขอถามทุกคนก่อนเลยครับว่า "ทุกคนในตอนนี้คิดยังไงกับตัวเองครับ" รู้สึกว่าชีวิตตัวเองกำลังไปได้สวย รู้สึกว่าตัวเองเดินหน้าได้ไม่เร็ว แต่ก็เดินไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด หรือว่ารู้สึกท้อแท้หรือเบื่อกับตัวเองที่ยังยืนอยู่กับที่ ทำอะไรก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่สามารถพัฒนาตัวเองต่อได้มากเท่าที่ตัวเองคิดเพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่างที่อาจจะบอกใครไม่ได้.ผมไม่รู้นะครับว่าทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้ในขณะนี้กำลังเจอกับปัญหาอะไรอยู่หรือต้องการคำตอบแบบไหนจากบทความนี้ อย่างไรก็ตามแต่ ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่บทความนี้ที่จำขอนำเสนอ "เทคนิคเล็ก ๆ สำหรับการพัฒนาตัวเอง" จากอนิเมะชื่อดังที่เคยเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่งในช่วงบอลโลก 2022 อย่าง "Blue Lock - ขังดวลแข้ง" นั่นเอง ถ้าอยากรู้ก็อย่ามัวเสียเวลาและเชิญอ่านได้เลย!ต้องรู้ว่า "ตัวเองมีความสามารถอะไร" และ "จะใช้มันอย่างไร" เรื่องนี้จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องธรรมดาที่หลายคนมักไม่รู้ตัวหรือลืมตัวอยู่บ่อยครั้ง (รวมถึงตัวผมเองด้วย) เพราะหลายครั้งเราจะชอบโฟกัสกับเรื่องอื่นก่อนหรือไม่สามารถโฟกัสกับทั้งสองอย่างนี้ไปด้วยกันได้ .หากอิงจากสิ่งที่ "เอโกะ จินปาจิ" ผู้ดำเนินโครงการ Blue Lock จากในเรื่องบอกแล้ว สิ่งที่จะทำให้เราเก่งได้เร็วขึ้น คือ การรู้ว่าตัวเองทำอะไรได้หรือไม่ได้ พอรู้เรื่องนั้นแล้ว ก็จะได้ไม่ต้องฝืนทำในสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้จริง ๆ และให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่ดีกว่า เพราะหากเริ่มพัฒนาตัวเองจากสิ่งที่มีอยู่ ก็ย่อมพัฒนาได้ง่ายและรวดเร็วกว่า .หลังจากที่ผ่านข้อแรก ก็เข้าสู่เงื่อนไขถัดไปคือ วิธีการพัฒนาและใช้งานความสามารถนั้นให้ได้อย่างเต็มที่ เพราะหากเรารู้ว่าเรามีความสามารถอะไร แต่ไม่สามารถใช้ได้ ก็ถือว่าไม่มีประโยชน์อยู่ดี นอกจากนั้นการให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเองก็ถือเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน หากเราดันทุรังมาเสียเวลาพัฒนาในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ โดยที่ไม่มีผลลัพธ์อะไรออกมาให้เราเห็นว่าตัวเราเก่งขึ้น ก็จะกลายเป็นว่าเราใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์แทน ดังนั้นเงื่อนไขนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้ความสามารถของเราเบ่งบานได้อย่างเต็มที่เหมือนกัน ปรับอีโก้ที่มีให้ตรงกับระดับความสามารถตัวเองอีโก้ (Ego) มีนิยามว่า การถือตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ได้หมายถึงความเห็นแก่ตัวหรือความหมายด้านลบที่ทุกคนเคยได้ยินกันเวลามีใครพูดว่าคนนั้นคนนี้ "อีโก้สูง".อีโก้เป็นองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างที่มีส่วนช่วยให้มนุษย์มีความทะเยอทะยานที่จะทำสิ่งต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาตัวเองไปให้ไกลยิ่งขึ้นได้ หากมีอีโก้ที่สูงเกินไป ก็จะทำให้เรามองเห็นสิ่งรอบข้างได้น้อยลง ขาดความรอบคอบมากกว่าที่เคยเป็น และหยุดนิ่งอยู่กับที่ในที่สุด เพราะในสภาวะนี้เราจะคิดว่าตัวเองเก่งที่สุดและบางครั้งก็อาจคิดว่าคนอื่นก็ต้องทำตามตน เพราะความคิดของตนเองเข้าท่าที่สุด การลดอีโก้ตัวเองสามารถทำได้ด้วยการตระหนักว่าตัวเองยังเป็นคนที่มีข้อผิดพลาดอยู่และยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก หากสามารถเปลี่ยนความคิดที่เย่อหยิ่งและเปิดรับสิ่งรอบข้างมากขึ้น อีโก้ที่สูงเกินไปก็จะลดลงเอง.ดังนั้นหากเราสามารถปรับระดับอีโก้ให้ตรงกับความสามารถที่เรามี เราก็จะสามารถปรับตัวเองให้เข้ากับหลายสถานการณ์ได้ดีขึ้น เมื่อรู้ว่าตัวเองยังไม่เก่งพอหรืออยู่กับคนที่เก่งกว่า ก็ลดอีโก้ตัวเองลงเพื่อเปิดรับสิ่งรอบข้างและเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็เพิ่มอีโก้ตัวเองให้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้ไม่พลาดได้ง่าย เพราะมัวแต่เปิดรับฟังสิ่งรอบข้างแต่ไม่ถามตัวเอง นี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอีโก้ที่พอดีกับความสามารถที่เรามีจึงสำคัญอย่างยิ่งท้าทายตัวเองด้วยการทำสิ่งที่ยากขึ้นเสมอข้อนี้น่าจะเป็นอะไรที่คนส่วนมากน่าจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว แต่บางครั้งเราก็มักจะเลือกทำสิ่งที่ไม่ยากเกินความสามารถเราเพื่อความสะดวกสบายและสบายใจสำหรับเราเอง ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร.ทว่าเหตุผลที่การทำสิ่งที่ยากกว่า ทำให้เราสามารถพัฒนาตัวเองได้นั้น นั่นก็เพราะเมื่อเราต้องเผชิญกับสิ่งที่เริ่มเกินความสามารถของเรา เราก็จะสามารถใช้ความสามารถเราได้อย่างเต็มที่โดยไม่จำเป็นต้องออมมือเอาไว้ พยายามฝึกฝนหรือคิดหาวิธีอย่างเต็มที่เพื่อจะเอาชนะสิ่งนั้นให้ได้ นี่จึงเป็นเหมือนกับการค้นหาวิธีพัฒนาตัวเองไปด้วยในตัว เพราะถ้าตัดเรื่องความรู้สึกอยากเอาชนะออกไป การที่เราจะเอาชนะสิ่งที่ยากกว่าได้นั้น เราก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ทันสิ่งนั้นด้วย หากเราพัฒนาตัวเองจนเอาชนะได้สำเร็จ เราก็เก่งขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว (หรือบางทีก็อาจจะรู้ตัว) ได้นั่นเองไม่หวาดกลัวหรือเบื่อหน่ายความล้มเหลวและความพ่ายแพ้ต่อจากข้อที่แล้วเรื่องการท้าทายสิ่งที่ยากกว่าตัวเอง ก็ต้องเป็นธรรมดาที่จะมีล้มเหลวและพ่ายแพ้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือจิตใจที่ไม่กลัวต่อสิ่งเหล่านั้น การหวาดกลัวความพ่ายแพ้ กลัวว่าตัวเองจะล้มเหลว กลัวว่าจะต้องแพ้กลับมาอีก ไปจนถึงความรู้สึกที่ว่าล้มเหลวจนชินชาและเบื่อหน่ายกับมันจนถึงขั้นไม่อยากพบสิ่งเหล่านั้นอีก อาจจะฟังดูน่าเจ็บใจ แต่ความรู้สึกหวาดกลัวและเบื่อหน่ายความล้มเหลวนั้น จะคอยปิดกั้นเราเอาไว้จากการท้าทายตัวเองเสมอ ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ช้าลงโดยไม่รู้ตัว .ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่ย่อท้อ ไม่หวั่นเกรง หรือเบื่อกับการต้องเผชิญหน้าความล้มเหลวและความพ่ายแพ้ คอยดันทุรังทำมันต่อไปและหาทางเอาชนะมันเรื่อย ๆ ความพยายามนั้นก็จะตอบแทนเรากลับมาแน่นอน แต่ถ้ากลัวว่าตัวเองจะรู้สึกเอียนความล้มเหลวหรือกลัวว่าตัวเองจะกลัวความพ่ายแพ้ไปก่อน ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยได้ และสำหรับใครที่ดูหรืออ่านมังงะ Blue Lock มาแล้วก็น่าจะพอเดาได้ว่าสิ่งที่ช่วยเยียวยาความรู้สึกแย่ ๆ ตอนต้องเผชิญความพ่ายแพ้นั้น ก็คือ "ความกระหายชัยชนะและความสำเร็จ" ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เราหันจิตใจออกจากสิ่งผิดพลาดที่เราเคยทำไว้แล้วแก้ไขไม่ได้ มาที่การโฟกัสสิ่งที่ทำได้เพื่อเอาชนะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้แทน ยิ่งมีความรู้สึกกระหายในความสำเร็จและชัยชนะมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยให้เรามุ่งไปข้างหน้าโดยไม่กลัวความล้มเหลวได้มากเท่านั้น .แต่ก็อย่าลืมว่า อะไรที่มีมากเกินไป ก็ย่อมส่งผลเสียได้เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นเอาเป็นว่า "จัดการความรู้สึกต่าง ๆ ในใจให้มีอย่างพอดีนะครับ"ไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาหาเราเมื่อพัฒนาตัวเองจนสามารถมองเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนแล้ว การจะมีความสามารถใหม่ ๆ หรือมีสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตเรา ก็เหมือนเป็นชะตากรรมที่ปฏิเสธไม่ได้จนกว่าเราจะยอมรับเท่านั้น ถึงผมจะพูดอย่างนั้น แต่การมีอะไรใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีแต่อย่างใด แต่บางครั้งเมื่อเรามองเห็นมันเป็นครั้งแรก ถ้ามันไม่ได้ให้ผลประโยชน์กับเรา เราก็อาจจะปฏิเสธหรือมองข้ามมันไปเลยโดยสิ้นเชิง ซึ่งนั้นอาจทำให้เราพลาดโอกาสในการพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งได้.นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมการเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาและปรับตัวเข้าหามัน จึงเป็นอะไรที่ควรทำอย่างยิ่งหากต้องการจะยกระดับความสามารถตัวเองอย่างน้อยอีกหนึ่งขั้น แม้ว่าโดยผิวเผินมันอาจจะเป็นอุปสรรคที่มาขวางเราในตอนแรก แต่หากเราทำใจให้เย็นและลองคิดหาวิธีใช้ประโยชน์จากมันได้ มันก็ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองได้อย่างดีเลยทีเดียว หรือหากจะให้พูดง่าย ๆ นั้น "การไม่กลัวที่จะเิปดรับและเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามา จะทำให้เราหาโอกาสพัฒนาตัวเองได้อีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว"ไม่คิดว่าตัวเอง “ต้องเป็น” หรือ “อยากเป็น” เหมือนคนอื่นการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิดครับ การเอาคนอื่นเป็นแรงบันดาลใจเพื่อพัฒนาตัวเองนั้นสามารถเห็นได้ทั่วไปแทบจะทั่วทุกมุม แต่ว่าสิ่งที่หลายคนอาจจะลืมไปโดยสิ้นเชิงคือ "เราไม่ใช่คนที่เรานับถือ เราไม่ใช่เพื่อนเรา เราไม่ใช่ใครก็ตามที่เราอยากเป็น เพราะเราคือตัวเราเอง".ส่วนหนึ่งที่ความคิดที่เราอยากจะเป็นคนอื่นเกิดขึ้นนั้น อาจเกิดจากคนรอบข้างที่ผลักเราไปยืนเทียบเคียงกับคนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่การที่เราคิดแบบนี้เองเท่านั้น แต่เมื่อไหร่ที่เราสามารถเอาตัวเองออกจากกรอบนี้ได้ แล้วลองหันมามองตัวเองดี ๆ ว่าตัวเราเองมีอะไรดีและควรทำอะไรตั้งแต่แรก เราก็จะสามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างถูกที่ถูกทาง ไม่ใช่เอาแต่คิดว่าตัวเองต้องเป็นแบบคนนั้นคนนี้แล้วพอคนนั้นทำอะไร เราก็ทำตามเพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้ดูตัวเองว่าเราทำไหวหรือไม่ หรือต่อให้เราสามารถทำตามได้จริง ๆ แต่สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นเหมือนตัวสำรองของคน ๆ นั้นไปเฉย ๆ .ดังนั้นสิ่งที่ควรจะโฟกัสหลัก ๆ ก็คือตัวเราและอย่าเสียเวลาเอาแต่ลอกเลียนแบบคนอื่นมากจนเกินไป เพราะมนุษย์ทุกคนมีความสามารถแตกต่างกันอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ถึงจะมีหลายอย่างที่เหมือนหรือคล้ายกัน แต่ไม่มีใครที่เหมือนกันแบบ 100 เปอร์เซ็นต์แน่นอนพยายามเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่มีคนเก่งมาถึงข้อสุดท้ายที่น่าจะเป็นเคล็ดลับที่ทำตามได้ง่ายที่สุด (ตามความคิดของผู้เขียน) แล้ว ถ้าทุกคนลองอ่าน 6 ข้อที่ผ่านมาดู ทั้งหมดนั้นจะมีจุดสำคัญอยู่ที่ตัวเราเองเป็นส่วนใหญ่ และบางครั้งการต้องผลักดันตัวเองโดยลำพัง ก็อาจทำให้เราเหนื่อยก่อนถึงเส้นชัยกับความสำเร็จที่เราตั้งไว้ได้.อีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เราไม่เหนื่อยจนถอดใจไปกลางคันกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองได้นั้น ก็คือการเอาตัวเองไปอยู่ในสภาวะที่ต้องแข่งขันกับคนที่เก่งกว่า เหตุผลก็คือ เมื่อเราต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องคอยแข่งขันกับคนอื่น ตัวเราเองก็จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นั้นไปด้วย หรือก็คือเราเองก็ต้องเข้าแข่งขันกับคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งก็จะสอดคล้องกับข้อที่ผ่านมาอย่าง "ท้าทายตัวเองด้วยการทำสิ่งที่ยากขึ้น" ที่จะทำให้เรามีโอกาสพัฒนาตัวเองได้อย่างดี นอกจากนี้การอยู่รอบข้างคนเก่ง ยังช่วยให้เราได้เห็นเทคนิค ความคิด และทัศนคติของคนเหล่านั้น และนำมาปรับใช้กับตัวเองตามสมควรได้ เสมือนกับเป็นการลอกความสามารถมาปรับให้เข้ากับตัวเอง จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราได้ด้วย .จากทั้งหมดทั้งมวลที่ผมหยิบยกจาก Blue Lock มา ส่วนหนึ่งมาจากคำพูดและสถานการณ์ที่ในเรื่องได้แสดงให้เห็น และอีกส่วนก็มาจากการตีความโดยส่วนตัวโดยอิงจากสิ่งที่ปรากฏทั้งหมดในเรื่องด้วย ทุกคนที่อ่านมาจนถึงจุดนี้จะเชื่อในสิ่งที่ผมเขียนมาหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นสิทธิของทุกคนครับ ทุกคนสามารถหยิบสิ่งที่อยู่ในนี้ไปใช้กับตัวเองยังไงก็ได้ตามใจชอบ ขึ้นอยู่กับว่าตัวเราขาดอะไรและต้องการอะไร เพราะเหตุผลส่วนหนึ่งที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา ก็เพื่อที่จะบอกสิ่งเหล่านี้แก่ตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน หากมีอะไรที่ผิดพลาดไปแต่อย่างใด ผมก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย แล้วพบกันใหม่ในคอนเทนต์ถัดไปครับ Bye!#BlueLock #ขังดวลแข้ง #อนิเมะ #TrueIDCreator #TrueID อ้างอิง (เครดิตภาพ)ขอขอบคุณภาพปกและภาพประกอบทั้งหมดจาก : 「ブルーロック」TVアニメ公式|好評放送中!(Blue Lock Japan official Twitter)- ภาพปก : ภาพ1- ภาพประกอบ : ภาพ1 / ภาพ2 / ภาพ3 / ภาพ4 / ภาพ5 / ภาพ6 / ภาพ77-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์