BGRIMรุกต่างประเทศ ปิดดีลโรงไฟฟ้าครึ่งหลัง
#BGRIM #ทันหุ้น – BGRIM รุกลงทุนโรงไฟฟ้าต่างประเทศ แย้มศึกษา “M&A-สร้างใหม่” หลายโครงการ เน้นIRR 10-12% คาดชัดเจนครึ่งปีหลัง เตรียมนำเข้า LNG–ออกหุ้นกู้เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิม-ขยายธุรกิจ เผยลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์ 3-4 ราย จ่อลงทุนในไทยช่วง 1-2 ปี
นายนพเดช กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการลงทุน นวัตกรรม และความยั่งยืน และสายงานธุรกิจในประเทศไทยและมาเลเซีย บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีความชัดเจนการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ ซึ่งบริษัทศึกษาอยู่หลายโครงการและหลายประเทศ โดยเป็นลักษณะการเข้าไปควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) และลงทุนพัฒนาโครงการเอง โดยบริษัทจะเลือกลงทุนในโครงการที่สร้างผลตอบแทนการลงทุน (IRR)ที่ 10-12%
“เรามีแผนการขยายไปต่างประเทศเพื่อรองรับการเติบโต และรองรับความต้องการพลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหลายประเทศมีนโยบายการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิตของประเทศนั้น เราเห็นโอกาสสร้างการเติบโตเติบโต”
ส่วนโครงการในประเทศนั้น บริษัทรอภาครัฐเปิดประมูลโครงการใหม่ ซึ่งบริษัทมีความพร้อมในการเข้าไปประมูล โดยเน้นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์) โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ โดยในส่วนของแพลตฟอร์มซื้อขายไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff) หรือ UGT นั้น บริษัทได้เข้าไปประมูลในรอบแรก ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าโซลาร์ ขนาดกำลังการผลิต 339 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเริ่มขายไฟฟ้าได้ในปี 2569
@ลูกค้าดาต้า 3-4 รายซื้อไฟ
สำหรับโครงการนำร่องการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement : Direct PPA) จำนวน 2,000 เมกะวัตต์นั้น บริษัทมีความพร้อมเข้าไปดำเนินการ เพราะตอนนี้มีลูกค้าต่างประเทศจำนวน 3-4 ราย มีแผนลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในนิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่ในกรุงเทพฯ ในช่วง 1-2 ปีนี้ ซึ่งมีความต้องการใช้ไฟฟ้า 100-300 เมกะวัตต์ต่อเดือน
นายนพเดช กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ธุรกิจบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ (Smart Utilities Project) คือการนำเทคโนโลยี หรือ AI มาร่วมบริหารจัดการพลังงานให้ลูกค้า ในนิคมอุตสาหกรรมในรูปแบบอัจฉริยะ มีพลังงานหลากหลาย ทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติผสมกับพลังงานทดแทน และมีการนำแบตเตอรี่มาร่วมในการสร้างเสถียรภาพระบบพลังงาน และบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้นำไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) มาผลิตไฟฟ้า
รวมถึงต่อยอดไปยังสมาร์ทกริด (Smart Grid เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการพลังงาน ทำให้การเดินเครื่องของลูกค้าอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 เพื่อนำมาใช้ในโรงไฟฟ้าก๊าซของบริษัท โดยธุรกิจ Smart Utilities Project และ นำเข้า LNG บริษัทจะนำเข้ามาอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของบริษัท ในส่วนของ Industrial Solutions
@มาร์จิ้นลูกค้า IU เพิ่มขึ้น
สำหรับรายได้ขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ของบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ดีกว่าช่วงที่ผ่านมา จากราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลง และจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น และยังได้ประโยชน์จากปรับโครงสร้างราคาก๊าซ หรือ Single Pool Gas ที่ต้นทุนก๊าซลดลงเหลือ 6 บาท จาก 11 บาท
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ เพื่อนำมาทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบอายุ และส่วนหนึ่งก็จะนำมาใช้ในการขยายธุรกิจ
ทั้งนี้จากข้อมูลสมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) พบว่า BGRIM มีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วงที่เหลือของปีนี้จำนวน 1 รุ่น คือ BGRIM247A วันที่ 6 กรกฎาคม 2567 มูลค่า 2,000 ล้านบาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ ว่าจากการพรีวิวงบไตรมาส 2/2567 ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดกำไรอยู่ที่ 632 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาสก่อน เพราะราคาก๊าซที่ลดลง 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ล่าสุดของ BGRIM คือโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาด 30 เมกะวัตต์ในสหรัฐ ที่เข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567นอกจากนี้ยังเตรียมยื่นประมูลโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาด 900 เมกะวัตต์ ในการประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนครั้งต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567โดยจะมีกำลังการผลิต 3.6 กิกะวัตต์ เราคาดว่า BGRIM จะได้รับโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 360 เมกะวัตต์ เมื่ออิงจากผลการประมูลครั้งล่าสุด
นอกจากนี้ BGRIM ให้ความสำคัญในการยื่นประมูลโรงไฟฟ้าพลังน้ำในสปป.ลาว ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ ซึ่งมีกำลังการผลิต 3.5 กิกะวัตต์ สำหรับงบดุลที่ตึงตัว BGRIM มีเครื่องมือทางการเงินมากมาย ที่จะช่วยสนับสนุนแผนการลงทุน ได้แก่ เงินกู้ของโครงการเงินทุนจากผู้รับเหมาก่อสร้าง พันธบัตรถาวร และการแปลงสินทรัพย์เป็นเงิน