"แม้จะปราศจากอาวุธ นักรบก็สามารถสังหารศัตรูได้จากระยะ 100 ก้าว แต่ความคิดอันเลิศล้ำคือเมื่อกระบี่ไม่ปรากฎอีกต่อไป อ้อมกอดของนักรบจะรายล้อมตัวเขา ความปรารถนาที่จะสังหารหายไป เหลือไว้เพียงสันติภาพ" ประโยคของจิ๋นซีฮ่องเต้ ในภาพยนตร์เรื่อง ฮีโร่ ที่รับบทโดย เฉิน เต้าหมิง กำกับโดยจาง อี้โหมว ออกฉายในปี ค.ศ.2002 อีกทั้งเรื่องนี้ยังได้เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และทำให้ชื่อของจักรพรรดิจิ๋นซีเป็นที่รู้จักมากขึ้น [ภาพประกอบจาก Wikipedia] ฉินฉื่อหวางตี้ หรือชื่อที่คนไทยคุ้นเคยคือ จิ๋นซีฮ่องเต้ มหาจักรพรรดิในประวัติศาสตร์จีนที่โลกต้องจารึก เมื่อ 2,200 ก่อน จิ๋นซีฮ่องเต้ประสูติที่แคว้นฉินและขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 13 พรรษา และราชาภิเษกเมื่อพระชนมายุ 22 พรรษา และด้วยความที่เป็นนักรบ จึงมีความมุ่งมั่นที่ต้องการจะรวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่น ไม่มีการแบ่งฝักฝ่าย และพระองค์ทำการศึก เอาชนะรวมแผ่นดินจีนได้สำเร็จ อีกทั้งยังทำการปฏิรูปการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง กำหนดหน่วยชั่ง ตวง วัด ทำระบบเงินตรา ทำโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในยุคนั้นจนเจริญ อีกทั้งยังกำหนดการใช้อักษรจีนที่มีหลากหลาย ให้มาใช้งานเขียนอ่านแบบเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มในการก่อสร้างกำแพงเมืองจีนที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นมาถึงปัจจุบัน จนกระทั่งพระองค์ได้เสด็จสวรรคต ทิ้งความยิ่งใหญ่ให้ฮ่องเต้รุ่นต่อมานำพาประเทศเดินหน้า [ภาพประกอบจาก Wikipedia] ผ่านมาสองพันกว่าปี ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2517 หยาง จื้อฟาง ชาวนาในเมืองซีอาน ได้ขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำ แต่การขุดของเขาได้พลิกโฉมประวัติศาสตร์ไป เมื่อเขาขุดพบเจอกับซากของทหารดินเผาหลายร้อยตัว จนกระทั่งรัฐบาลจีนเข้ามาทำการขุดต่อ จึงพบวัตถุโบราณที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของจิ๋นซีฮ่องเต้มากมายอาทิ กองทัพทกหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึกกว่า 7,400 ชิ้น และพื้นที่มีขนาดใหญ่เท่ากับสนามบาสเก็ตบอล 40 สนามรวมกัน จนเสมือนเป็นพระราชวังใต้ดินคร่าว ๆ ปัจจุบันเชื่อกันว่าสุสานที่ฝังพระศพจิ๋นซีฮ่องเต้ฝังอยู่ในภูเขาไม่ไกลจากสุสานแห่งนี้ แต่ยังไม่มีเทคโนโลยีขุดเข้าไปได้ เนื่องจากในพงศาวดารบันทึกไว้ว่าที่ฝังพระศพมีแม่น้ำปรอทรายล้อมไว้เพื่อรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อย อีกทั้งยังคาดว่ามีอาวุธนานาชนิดติดตั้งไว้ภายในมากมาย ทางการจึงยังไม่ขุดเพื่อไม่ให้อากาศเป็นพิษและไม่ให้เกิดอันตราย ตามบันทึกพงศาวดาร เขียนกันไว้ว่าสุสานแห่งนี้ ที่มีทหารดินเผาหน้าตาไม่เหมือนกัน มาจากทหารในกองทัพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ความปรารถนาของจิ๋นซีคือเมื่อพระองค์สวรรคต จะต้องมีการนำเอาทหารคนสนิท ขุนนางและนางสนมฝังตามพระองค์ลงไปด้วย จึงมีการสร้างทหารดินเผาและพระราชวังใต้ดิน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้ามารบกวนพระศพของพระองค์ โดยการขุดค้นพบช่วงแรกนั้น ทหารดินเผายังมีสีสันทาไว้รอบตัว แต่ด้วยระยะเวลาผ่านไปนานหลายพันปี สีในยุคอดีตเจอกับสภาพอากาศปัจจุบัน จึงหลุดลอกออกไปเหลือไว้เพียงเนื้อดินและรูปทรง และสุสานนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก และยังได้รับการจัดให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกเมื่อปี พ.ศ.2530 แต่การจะบินไปดูถึงที่เลย ก็คงจะเป็นเรื่องยาก ไหนจะเรื่องวีซ่าและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังซีอานที่อยู่ภาคกลางของจีนด้วยอีกนั้น คงจะหนักหนาพอสมควร แต่ก็นับว่าโชคดีของคนไทย ที่กระทรวงวัฒนธรรมของไทย ได้จับมือกับหน่วยงานบริหารมรดกวัฒนธรรมมณฑลส่านซีและพิพิธภัณฑ์สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รวบรวมโบราณวัตถุสำคัญกว่า 133 ชิ้นที่มีอายุกว่า 2,200 ปี มาจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรงเทพมหานคร ให้คนไทยได้รับชมความยิ่งใหญ่ของจิ๋นซีฮ่องเต้ผ่านโบราณวัตถุเหล่านี้ ซึ่งนิทรรศการก็ได้แบ่งเป็น 4 หัวข้อหลักให้เราได้รับชมคือพัฒนาการก่อนการรวมชาติ ยุคราชวงศ์โจวตะวันออก ที่นำเสนอความเป็นแคว้นต่าง ๆ มีการปกครองเป็นเอกเทศไม่ขึ้นตรงกับใคร มีผู้นำแคว้นของตนเอง เริ่มมีการผลิตอาวุธ เครื่องดนตรี ภาชนะ ระบบเงินตรา กองทัพ และเทคโนโลยีการหล่อสำริด โดยนำเสนอให้เห็นถึงกรรมวิธีการผลิตในยุคนั้น ที่ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมาจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของจีนที่ผนวกโลกมนุษย์และสวรรค์ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่องค์แรกของจีนที่รวบรวมแว่นแคว้นต่าง ๆ ให้เป็นปึกแผ่นจนกลายเป็นประเทศจีน ผู้ที่ปฏิรูปการปกครอง กำหนดหน่วยชั่ง เงินตรา สร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ รวมถึงตัวอักษรจีนที่ให้คนทั้งแผ่นดินจีนหันมาใช้รูปแบบเดียวกัน และผู้ที่ริเริ่มให้ก่อสร้างกำแพงเมืองจีนสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี มหาอาณาจักรใต้พิภพ จิ๋นซีฮ่องเต้ ที่หลังจากสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับแผ่นดินจีนแล้ว พระองค์ก็มีความปรารถนาที่จะมีชีวิตเป็นอมตะ และพยายามเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะมาตลอด ถึงได้สั่งให้ สวี ฟู่ ขุนนางของพระองค์ออกไปเสาะหายาอายุวัฒนะที่เกาะญี่ปุ่นพร้อมกับเด็กชายหญิงพรหมจรรย์กว่า 3,000 คนรวมถึงช่างฝีมือจำนวนหนึ่งออกเดินทางร่วมด้วย แต่การเดินทางหายาอายุวัฒนะของ สวี ฟู่ ก็ไม่มีข่าวคราวกลับมา จนทำให้จิ๋นซีฮ่องเต้ต้องใช้แผนที่สอง คือการสร้างสุสานอันยิ่งใหญ่เพื่อสำหรับประทับร่างของพระองค์ชั่วกาลนาน แต่พระองค์ก็สิ้นพระชนม์ก่อนโดยที่สุสานยังสร้างไม่เสร็จ และมาสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ในปีที่สองของรัชสมัย ฉินเอ้อซื่อ ผู้เป็นบุตรชาย และได้อัญเชิญพระศพเข้าประทับยังสุสาน รวมเวลาสร้างนานถึง 38 ปี โดยมีการหล่อรูปปั้นทหาร ม้าศึกและรถม้าฝังร่วมไว้ ด้วยความเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะตามไปรับใช้และอารักขาพระองค์ในโลกหน้าด้วย ซึ่งในส่วนนี้มีงานโบราณวัตถุชิ้นสำคัญมากมาย อาทิ หุ่นทหารและม้าดินเผา เสื้อเกราด อาวุธสำริด และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจิ๋นซีฮ่องเต้สืบสานความรุ่งโรจน์ ยุคราชวงศ์ฮั่น มรดกความยิ่งใหญ่ของจิ๋นซีฮ่องเต้และราชวงศ์ฉิน ถูกส่งต่อสู่ราชวงศ์ฮั่น ซึ่งเป็นยุคที่แผ่นดินจีนเจริญก้าวหน้า ในส่วนนี้มีโบราณวัตถุที่บอกเล่าถึงประเพณี วิถีชีวิต วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง การเกษตร เทคโนลีทางทหาร รวมถึงความเจริญก้าวหน้าต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อชาวโลก เช่นเครื่องวัดตำแหน่งดวงดาว เครื่องวัดแผ่นดินไหว และกรรมวิธีทางสถาปัตยกรรมอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นยุคทองของอารยธรรมชาวจีน นิทรรศการ จิ๋นซีฮ่องเต้ ไม่ได้มีแค่ให้เราได้เชยชมถึงโบราณวัตถุอันล้ำค่า แต่ยังได้บอกเล่าเรื่องราวและเส้นทางของประเทศจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เชื่อว่าใครที่ได้มาชม น่าจะมีความคิดใหม่ ๆ ก่อเกิดขึ้นภายในใจไปพอสมควร อีกทั้งยังได้เรียนรู้ว่ากว่าจีนจะกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกเช่นทุกวันนี้นั้น พวกเขาก็ผ่านอะไรมามากมาย และงานนิทรรศการนี้ก็ช่วยบอกเล่าเรื่องราวยาก ๆ ให้เราได้เข้าใจง่ายขึ้น และทำให้เราเข้าใจในความยิ่งใหญ่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่พวกเขากำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ผู้ที่สนใจสามารถเข้านิทรรศการได้ที่ พระที่นั่งศิวโมขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยเริ่มเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันนี้ยาวจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. แบ่งเข้าชมรอบละ 60 คน โดยจะหยุดให้เข้าชมทุกวันจันทร์-อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ อนุญาตให้ถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถือ ยกเว้นกล้องขนาดใหญ่