สภาพัฒน์ฯ ประเมิน "น้ำท่วม" กระทบเศรษฐกิจหนักสุด 2.9 หมื่นล้านบาท ซ้ำเติมภาคเกษตร แนะรัฐเร่งเยียวยา

สภาพัฒน์ฯ ประเมิน "น้ำท่วม" กระทบเศรษฐกิจหนักสุด 2.9 หมื่นล้านบาท ซ้ำเติมเกษตร แนะรัฐเร่งเยียวยา
นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เปิดเผยว่าผลกระทบจากอุทกภัยในขณะนี้ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ แม้การประเมินความเสียหายจะบอกตัวเลขที่แน่ชัดไม่ได้ แต่ สศช. มีกรอบในการประเมินผลกระทบ หากเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อย จะกระทบ 0.1% ต่อ GDP หรือราว 16,000 ล้านบาท , หากกระทบเศรษฐกิจในระดับกลาง จะกระทบ 0.13% ต่อจีดีพี หรือราว 23,000 ล้านบาท และหากกระทบต่อเศรษฐกิจมาก จะกระทบราว 0.16% ต่อจีดีพี หรือราว 29,000 ล้านบาท ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ รวมถึงมาตรการเยียวยาเพื่อรองรับผลกระทบจากอุทกภัย
ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ เช่น ควบคุมระดับราคาสินค้าเพื่อรักษาความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงาน ซึ่งต้องกำกับดูแลการตั้งราคาสินค้าและบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าจำเป็นและการเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย ซึ่งต้องเร่งจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา และควรมีมาตรการฟื้นฟูและสนับสนุนอื่น ๆ อาทิ สนับสนุนปัจจัยการผลิตใหม่ เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เครื่องมือ
ขณะเดียวกัน สศช. รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ปี 2568 พบว่าสถานการณ์แรงงานหดตัวลงเล็กน้อยโดยเฉพาะจากภาคเกษตรกรรมลดลงต่อเนื่อง ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมระดับราคาสินค้า และการเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังสถานการณ์น้ำท่วม
ทั้งนี้ไตรมาส 3 ของปีนี้ ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.9 ล้านคน ลดลง 0.5 % จากช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมหดตัว 2.9% เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาส 7 ส่วนหนึ่งเกิดจากแรงงานรุ่นใหม่ไม่นิยมประกอบอาชีพด้านการเกษตร และเคลื่อนย้ายไปทำงานในภาคเศรษฐกิจอื่นที่ได้รับผลตอบแทนมากกว่า ตลอดจนสถานการณ์อุทกภัยในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบัน ได้สร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรกรเกือบ 2 แสนราย และพื้นที่การเกษตรกว่า 6.2 แสนไร่
ขณะที่สาขานอกภาคเกษตรกรรม ขยายตัว 0.6% โดยสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้า สาขาการผลิต และสาขาการค้าส่งและค้าปลีก มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมหดตัว 2.9% จากสถานการณ์อุทกภัย ขณะที่สาขานอกภาคเกษตนขยายตัว0.6% gฉพาะสาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้าที่ขยายตัว 4.9% รองลงมาเป็นสาขาการผลิต และสาขาการค้าส่งและค้าปลีก ที่ขยายตัว 2.6% และ 1.5% ตามลำดับ ส่วนสาชาโรงแรมและภัตตาคาร และสาขาการก่อสร้างลดลง 0.7%และ 5.4% ตามลำดับ
ส่วนชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของแรงงานค่อนข้างทรงตัวโดยในภาพรวมอยู่ที่ 43.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ขณะที่ภาคเอกชนอยู่ที่ 47.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งผู้ทำงานต่ำระดับ และผู้ทำงานล่วงเวลาลดลง 25.7 และ 6.9 ตามลำดับ ส่วนค่าจ้างแรงงานของลูกจ้างภาคเอกชนและแรงงาน ในระบบเพิ่มขึ้น1.3% และ 1.6% ตามลำดับ แต่ค่าจ้างเฉลี่ยของกลุ่มอาชีพอิสระลดลง 2.9 % ทำให้ค่าจ้างแรงงานในภาพรวมลดลง 0.3% ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย
สำหรับอัตราว่างงานในภาพรวมลดลง อยู่ที่ 0.76% หรือมีผู้ว่างงาน 3.1 ล้านคน ส่วนอัตราว่างงานในระบบประกันสังคมอยู่ที่ 1.9% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้น 8.7% จากผู้เสมือนว่างงานในภาคเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ สศช.ได้รายงานตัวเลขหนี้สินครัวเรือนไตรมาส 2 ปี 68 ลดลง 0.3% หรือมีมูลค่า 16.31 ล้านล้านบาท จากความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อใหม่ เนื่องจากครัวเรือนมีคุณภาพสินเชื่อลดลง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ 86.8% จาก 87.1% ของไตรมาส 1 ถือเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6
ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไปหรือ NPLs จากข้อมูลเครดิตบูโร มีมูลค่า 1.24 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวม 9.11% เพิ่มขึ้นจาก 8.78% โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนสินเชื่อที่ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน หรือ SMLs ปรับลดลงเหลือ 3.18% จาก 4.25% เป็นผลจากมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระยะถัดไปหนี้เสียอาจมีแนวโน้มลดลง
ส่วนการปล่อยสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน หรือการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later - BNPL) ไตรมาสสาม ปี 68 ลดลง 0.3% และ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการโอนหนี้รายย่อยเข้าสู่ระบบ AMC เป็นมาตรการที่รัฐบาลคาดหวังว่าจะเข้ามาช่วยลดระดับหนี้ครัวเรือน และปลดล็อกการปล่อยสินเชื่อให้สถาบันการเงินได้มากขึ้น แต่รัฐบาลและสื่อมวลชนจะต้องสื่อสารกับลูกหนี้ให้เข้าใจ และให้ติดต่อธนาคารเจ้าหนี้ตามกรอบระยะเวลาโครงการ จึงจะสามารถบรรลุเป้าที่วางเอาไว้ได้ ขณะเดียวกันการปล่อยสินเชื่อใหม่ หลังจากโอนหนี้เข้าสู่ระบบ AMC แล้วจะต้องพิจารณาในการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกหนี้ที่มีศักยภาพ ที่อยู่ในระบบซัพพลายเชน ของตลาดโลกและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ซึ่งจะส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อใหม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามไปด้วย
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
