9 ผลกระทบความมั่นคงทางอาหาร จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อ่านเลย! เขียนโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ถ้าผู้เขียนจะพูดว่า “โลกร้อนไม่ใช่แค่เรื่องอากาศร้อน” ซึ่งคำพูดนี้หลายคนอาจจะมองไม่เห็นภาพ ซึ่งคุณผู้อ่านเคยสังเกตไหมคะว่า ในช่วงหลังมานี้อากาศบ้านเราแปลกไป? บางทีร้อนจัดจนเหงื่อท่วม บางทีฝนก็ตกหนักจนน้ำท่วมฉับพลัน หรือบางทีก็แล้งยาวนานจนน่าตกใจ ซึ่งหลายคนอาจคิดว่านี่เป็นแค่ปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลยค่ะ! เพราะนี่คือสัญญาณชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อโลกของเรา และที่สำคัญกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ กำลังสั่นคลอนความมั่นคงทางอาหารของพวกเราทุกคน แบบที่หลายคนอาจยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ โดยเรามักจะเห็นข่าวพายุ น้ำท่วม หรือไฟป่า แต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้ากับอาหารที่เรากินในแต่ละมื้อสักเท่าไหร่ จริงไหมคะ? ซึ่งความจริงก็คือการที่อากาศร้อนขึ้น ฝนตกไม่เป็นฤดู หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติถี่ขึ้น ไม่ได้แค่ทำให้การปลูกข้าวปลูกผักยากขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ตั้งแต่แหล่งน้ำแห้งขอด ศัตรูพืชระบาด การขนส่งอาหารติดขัด ไปไปจนถึงคุณภาพและราคาอาหารที่เราต้องจ่ายแพงขึ้นเรื่อยๆ พอพูดแบบนี้แล้วพอจะมองเห็นคร่าวๆ ไหมคะ โดยในบทความนี้จะเป็นเนื้อหาที่ทำให้คุณผู้อ่านได้ทำความเข้าใจว่า โลกร้อนขึ้นสามารถทำให้อาหารบนจานของเราเปลี่ยนไปได้อย่างไร และทำไมการตระหนักรู้ในเรื่องนี้ถึงเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนสำหรับเราทุกคนค่ะ และถ้าอยากรู้แล้ว งั้นเรามาอ่านต่อกันเลยดีกว่า กับข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 1. ผลผลิตทางการเกษตรลดลง หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เรากำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่แค่เรื่องของอากาศที่ร้อนขึ้นหรือฝนตกไม่ตรงฤดูเท่านั้น แต่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการเกษตร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของปากท้องเราทุกคน ลองนึกภาพดูว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ฝนแล้งยาวนานขึ้น หรือกลับกันในบางพื้นที่ฝนตกหนักจนน้ำท่วมฉับพลัน สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้พืชผลทางการเกษตรไม่สามารถเติบโตได้ตามปกติ หรือเสียหายหนักจนไม่เหลืออะไรเลย เช่น ข้าวที่เคยได้ผลผลิตดี อาจยืนต้นตายเพราะขาดน้ำ หรือพืชไร่ที่ปลูกไว้จมอยู่ใต้น้ำนานเป็นสัปดาห์ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังส่งผลให้ศัตรูพืชและโรคพืชระบาดได้ง่ายขึ้น ทำให้เกษตรกรต้องต่อสู้กับปัญหาที่ซับซ้อนและคาดเดาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับตัวและการเตรียมพร้อม เกษตรกรต้องหันมาใช้วิธีการเพาะปลูกที่ยั่งยืนมากขึ้น เช่น การปลูกพืชที่ทนแล้ง ทนน้ำท่วม หรือเลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้สมัยใหม่ เช่น การพยากรณ์อากาศที่แม่นยำขึ้น การใช้ระบบน้ำหยด หรือการปลูกพืชในระบบโรงเรือนควบคุมสภาพแวดล้อม ก็เป็นทางออกที่น่าสนใจสำหรับบางพื้นที่และบางชนิดพืชค่ะ สำหรับคนธรรมดาอย่างเราทุกคนในฐานะผู้บริโภค การสนับสนุนเกษตรกรที่ปรับตัวและปลูกพืชอย่างยั่งยืน การตระหนักถึงปัญหา และการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในชีวิตประจำวันของเรา ก็เป็นส่วนเล็กๆ แต่สำคัญที่จะช่วยบรรเทาวิกฤตนี้ได้ เพราะปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องร่วมมือกันแก้ไขค่ะ 2. การเข้าถึงอาหารและระบบห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก การเข้าถึงอาหารและระบบห่วงโซ่อุปทาน หรือการลำเลียงอาหารจากฟาร์มถึงจานเราโดยตรงนั้น เมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพายุ น้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินไหว หรือแม้แต่คลื่นความร้อนจัด สิ่งเหล่านี้สามารถทำลายถนนหนทาง สะพาน ท่าเรือ หรือแม้แต่คลังสินค้าที่ใช้เก็บอาหาร ทำให้การขนส่งสินค้าเกษตรและอาหารจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภคติดขัดหรือหยุดชะงักลงโดยสิ้นเชิง ที่จะทำให้สินค้าเน่าเสียกลางทาง อาหารขาดแคลนในบางพื้นที่ ราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ และท้ายที่สุดคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ คนเปราะบางที่ไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นได้ หรือไม่มีอาหารเพียงพอต่อการบริโภค นี่คือภาพที่น่ากลัวและกำลังเกิดขึ้นจริงในหลายส่วนของโลกค่ะ แล้วเราต้องทำอย่างไร? เราทุกคนต้องร่วมกันสร้างระบบอาหารที่ยืดหยุ่นและหลากหลายมากขึ้นค่ะ เริ่มจากการส่งเสริมการผลิตอาหารในท้องถิ่น (Local Food) เพื่อลดการพึ่งพาการขนส่งระยะไกล การกระจายแหล่งผลิตอาหาร ไม่ให้กระจุกตัวอยู่แค่ไม่กี่ที่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งให้แข็งแกร่งทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการสร้างระบบสำรองอาหารและการจัดเก็บให้เพียงพอต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่สำคัญคือการสนับสนุนเกษตรกรให้ปรับตัวและใช้วิธีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในระยะยาว สุดท้ายแล้วการตระหนักถึงปัญหาและร่วมมือกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายนี้ และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับทุกคนได้อย่างแท้จริงค่ะ 3. แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรลดลงหรือแปรปรวน รู้ไหมคะว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้แค่ทำให้ฝนตกผิดฤดูเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอีกด้วย ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของการทำมาหากินของเกษตรกรทุกคน ลองนึกภาพดูว่าเมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น ทำให้น้ำระเหยเร็วขึ้นทั้งจากแหล่งน้ำธรรมชาติและดิน ทำให้ดินแห้งแล้งและกักเก็บน้ำได้น้อยลง ยิ่งไปกว่านั้นรูปแบบของฝนก็เปลี่ยนไป ที่บางปีฝนแล้งจัดจนแหล่งน้ำธรรมชาติแห้งขอด หรือมีฝนตกน้อยและทิ้งช่วงนานผิดปกติ ในขณะที่บางปีฝนก็กลับตกหนักมากในระยะเวลาสั้นๆ จนเกิดน้ำท่วมฉับพลัน พัดพาหน้าดินและสร้างความเสียหายให้กับพืชผลแทนที่จะเป็นประโยชน์ สถานการณ์เหล่านี้ล้วนทำให้เกษตรกรไม่สามารถวางแผนการเพาะปลูกได้อย่างแม่นยำ ขาดแคลนน้ำหล่อเลี้ยงพืชผลในยามจำเป็น หรือต้องเผชิญกับน้ำท่วมที่ทำลายล้างทุกสิ่ง ที่เป็นการสร้างความไม่มั่นคงทางอาหารอย่างใหญ่หลวง และสิ่งที่สำคัญที่เราต้องทำ คือ การหันมาจัดการน้ำอย่างฉลาดและยั่งยืนมากขึ้นค่ะ อาจเริ่มจากการส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรที่ใช้น้ำน้อยลง เช่น ระบบน้ำหยด การปลูกพืชที่ทนแล้ง หรือการพัฒนาพันธุ์พืชที่ต้องการน้ำน้อยลง นอกจากนี้การฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กหรือฝายกั้นน้ำในชุมชนเพื่อกักเก็บน้ำฝน การนำน้ำเสียกลับมาบำบัดใช้ใหม่ถ้าเหมาะสม รวมถึงการให้ความรู้กับเกษตรกรในการบริหารจัดการน้ำในไร่นาของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพวกเราทุกคน การประหยัดน้ำในชีวิตประจำวัน การตระหนักถึงการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า และการสนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราสามารถช่วยบรรเทาวิกฤตนี้ได้ เพราะน้ำคือชีวิต คือหัวใจของการเกษตร ถ้าไม่มีน้ำ เราก็ไม่มีอาหารนะคะ 4. เกิดการแพร่ระบาดของศัตรูพืชและโรคพืชสัตว์เพิ่มขึ้น ลองนึกตามนะทุกคน ลองนึกดูว่าเมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น ในบางพื้นที่ที่ไม่เคยมีศัตรูพืชบางชนิดมาก่อน จะกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ของศัตรูพืช ทำให้แมลงศัตรูพืชบางชนิดสามารถขยายวงจรชีวิตได้เร็วขึ้น ออกลูกหลานได้ถี่ขึ้น หรือย้ายถิ่นฐานไปบุกรุกพื้นที่ใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้สภาพอากาศที่แปรปรวน เช่น ฤดูแล้งที่ยาวนานสลับกับฤดูฝนที่ตกหนัก จะทำให้พืชอ่อนแอลง ภูมิต้านทานลดลง จึงทำให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และแพร่กระจายของโรคพืชและโรคสัตว์ได้ดีขึ้น ที่ก็จะส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายหนัก เกษตรกรต้องแบกรับภาระต้นทุนในการกำจัดที่สูงขึ้น และบางครั้งก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เลย และการจัดการที่เราต้องทำ คือ การหันมาใช้แนวทางการจัดการศัตรูพืชและโรคพืชสัตว์แบบผสมผสานและยั่งยืนมากขึ้นค่ะ เริ่มจากการใช้สารชีวภัณฑ์แทนสารเคมีอันตราย การปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรชีวิตศัตรูพืช การสนับสนุนการใช้ศัตรูธรรมชาติมาควบคุมแมลงศัตรูพืช และการพัฒนาสายพันธุ์พืชที่ต้านทานโรคได้ดีขึ้น นอกจากนี้การสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าเพื่อเฝ้าระวังและรับมือกับการระบาดอย่างทันท่วงทีก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับคนธรรมดาทั่วไปการเลือกซื้อสินค้าเกษตรจากแหล่งที่เชื่อถือได้ การสนับสนุนเกษตรกรที่ดูแลสิ่งแวดล้อม และการตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างสภาพภูมิอากาศกับปัญหาการผลิตอาหาร ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราสามารถช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงทางอาหารร่วมกันได้ เพราะเมื่อธรรมชาติเสียสมดุล เราทุกคนย่อมได้รับผลกระทบนะคะ 5. การประมงและสัตว์น้ำได้รับผลกระทบ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ได้ส่งผลกระทบแค่บนบกเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปถึงใต้ทะเลและแหล่งน้ำจืด ทำให้การประมงและสัตว์น้ำได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งกระทบถึงปากท้องของชาวประมงและผู้ที่พึ่งพาอาหารทะเลโดยตรงเลยค่ะ ลองนึกภาพดูว่าเมื่ออุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวปะการังซึ่งเป็นบ้านและแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำหลากหลายชนิดก็จะฟอกขาวและตายลง ทำให้แหล่งหากินและที่หลบภัยของปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ หายไป โดยบางชนิดไม่สามารถทนอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ ก็ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่ที่เย็นกว่า หรือไม่ก็อ่อนแอลงและตายไปในที่สุด นอกจากนี้การที่น้ำทะเลมีสภาพความเป็นกรดสูงขึ้น จากการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ก็ส่งผลเสียต่อสัตว์ทะเลที่มีเปลือกหรือกระดอง เช่น หอย ปู กุ้ง ทำให้สร้างเปลือกได้ยากขึ้นและเติบโตช้าลง ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำและรูปแบบลมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายของฝูงปลา ทำให้ชาวประมงจับปลาได้ยากขึ้น ปริมาณลดลง และบางครั้งก็ไม่มีปลาให้จับเลย โดยสิ่งสำคัญที่เราต้องร่วมกันทำก็คือ การดูแลและฟื้นฟูระบบนิเวศทางน้ำให้กลับมาสมบูรณ์ค่ะ โดยให้เริ่มจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาโดยรวม การส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืน ไม่จับปลาเกินขนาดที่ธรรมชาติจะฟื้นตัวได้ การฟื้นฟูแนวปะการังและป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำที่สำคัญ การควบคุมมลพิษทางน้ำ และการสร้างเขตอนุรักษ์ทางทะเลเพื่อเป็นพื้นที่ให้สัตว์น้ำได้ฟื้นตัว ซึ่งการสนับสนุนงานวิจัยและการศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อสัตว์น้ำก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เราสามารถวางแผนรับมือและปรับตัวได้อย่างเหมาะสม สำหรับคนธรรมดาที่ไม่ได้หาปลา การเลือกบริโภคอาหารทะเลที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืน การลดการใช้พลาสติกและทิ้งขยะลงทะเล และการตระหนักถึงความสำคัญของมหาสมุทร ก็เป็นส่วนเล็กๆ แต่สำคัญที่จะช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลและแหล่งน้ำจืดไว้ให้ลูกหลานของเราได้ค่ะ 6. เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจของเกษตรกร เมื่อเกิดภัยแล้งจัด น้ำท่วมหนัก ศัตรูพืชระบาด หรืออุณหภูมิที่แปรปรวน พืชผลทางการเกษตรซึ่งเป็นรายได้หลักของเกษตรกรก็เสียหายยับเยิน ผลผลิตลดลงหรือไม่เหลือเลย ที่ในบางครั้งต้องลงทุนลงแรงปลูกใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังต้องเจอกับความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนอีก ทำให้เกษตรกรมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่สามารถชำระหนี้สินได้ และยิ่งไปกว่านั้นคือขาดเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการเพาะปลูกในฤดูถัดไป สิ่งเหล่านี้จะบีบให้เกษตรกรจำนวนมากต้องขายที่ดิน ย้ายถิ่นฐานเข้าไปหางานในเมือง หรือบางคนก็ต้องติดอยู่ในวังวนของหนี้สินไม่รู้จบ วิกฤตนี้ไม่เพียงกระทบแค่ตัวเกษตรกรเอง แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ต้องพึ่งพาภาคเกษตรอีกด้วยค่ะ ซึ่งสิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างหลักประกันและทางเลือกให้กับเกษตรกรมากขึ้นค่ะ เริ่มจากการสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำและมีระบบประกันภัยพืชผล ที่ครอบคลุมความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแท้จริง นอกจากนี้การส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปสู่การทำเกษตรแบบผสมผสานหรือเกษตรอินทรีย์ ซึ่งมีความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงพืชเชิงเดี่ยว ก็เป็นทางออกที่สำคัญ รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น เช่น การพยากรณ์อากาศที่แม่นยำ การเลือกพันธุ์พืชที่ทนทานต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน และการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับพวกเราทุกคนการสนับสนุนสินค้าเกษตรจากเกษตรกรในท้องถิ่นอย่างเป็นธรรม และการตระหนักถึงความยากลำบากของเกษตรกร ก็เป็นส่วนเล็กๆ แต่สำคัญที่จะช่วยให้เกษตรกรไทยยืนหยัดอยู่ได้ และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในระยะยาวค่ะ 7. ราคาอาหารสูงขึ้นและความผันผวน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เรากำลังเจออยู่นั้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาอาหาร ที่เราต้องจ่ายในแต่ละวันสูงขึ้นและขึ้นลงอย่างไม่แน่นอนอีกด้วยค่ะ ลองนึกภาพดูว่าเมื่อภัยแล้งจัด น้ำท่วมใหญ่ ศัตรูพืชระบาด หรืออุณหภูมิที่ผิดปกติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย แล้วปริมาณสินค้าในตลาดจะลดลงอย่างมาก เมื่อของมีน้อยลงแต่คนยังต้องการเหมือนเดิม ราคาก็ย่อมแพงขึ้นเป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเส้นทางขนส่งอาหารถูกตัดขาดจากภัยพิบัติ ต้นทุนการขนส่งก็เพิ่มสูงขึ้นไปอีก จึงทำให้ราคาอาหารปลายทางยิ่งแพงขึ้นไปอีก และเมื่อสภาพอากาศแปรปรวนไม่แน่นอน การคาดการณ์ผลผลิตและราคาในอนาคตก็ทำได้ยาก ทำให้ราคาอาหารผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพของทุกคน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่ต้องแบกรับภาระหนักขึ้นในการซื้ออาหารเพื่อยังชีพค่ะ โดยสิ่งเราต้องทำ คือ เราต้องสร้างระบบอาหารที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นมากขึ้นค่ะ อาจเริ่มจากการส่งเสริมการผลิตอาหารในท้องถิ่นให้เพียงพอต่อความต้องการ ลดการพึ่งพาการนำเข้าที่อาจมีความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศในต่างประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร ที่ช่วยให้พืชผลทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการสร้างระบบสำรองอาหารและคลังเก็บสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย เพื่อให้มีอาหารเพียงพอในยามฉุกเฉิน นอกจากนี้การสนับสนุนเกษตรกรให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้และมีรายได้ที่มั่นคง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ราคาอาหารมีเสถียรภาพมากขึ้น สำหรับคนทั่วไปการเลือกบริโภคอาหารอย่างรู้คุณค่า ไม่ทิ้งขว้าง การสนับสนุนสินค้าเกษตรจากเกษตรกรโดยตรง และการตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เราทุกคนมีอาหารเพียงพอและเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสมค่ะ 8. เกิดความขัดแย้งและการย้ายถิ่นฐาน หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว กำลังกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดความขัดแย้ง และการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ทั่วโลกอย่างคาดไม่ถึงค่ะ ลองนึกภาพดูว่าเมื่อภัยแล้งมาเยือนอย่างหนัก แหล่งน้ำแห้งขอด ที่ดินทำกินไม่อาจเพาะปลูกได้ หรือเมื่อน้ำท่วมรุนแรงซ้ำซากจนพื้นที่อยู่อาศัยและไร่นาเสียหายหมดสิ้น ผู้คนจะไม่สามารถใช้ชีวิตในถิ่นฐานเดิมได้อีกต่อไป เพราะขาดน้ำ ขาดอาหาร และขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ และก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องย้ายถิ่นฐาน เพื่อหาที่อยู่ใหม่และโอกาสที่ดีกว่าในการดำรงชีวิต เมื่อคนจำนวนมากต้องอพยพไปรวมตัวกันในพื้นที่ใหม่ที่ทรัพยากรมีจำกัด ก็อาจเกิดการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากร เช่น น้ำ ที่ดินทำกิน หรือแม้แต่โอกาสในการทำงาน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วความตึงเครียดเหล่านี้ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ระหว่างกลุ่มคนที่อพยพเข้ามากับคนในพื้นที่เดิมได้ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางสังคม เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งความขัดแย้งที่รุนแรงกว่านั้น ซึ่งวิกฤตภูมิอากาศจึงไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงของมนุษย์และสังคมโดยรวมอีกด้วย แล้วเราต้องทำอย่างไร? สิ่งสำคัญคือเราต้องเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับการย้ายถิ่นฐานและการสร้างความร่วมมือค่ะ อาจเริ่มจากการลงทุนในการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ผู้คนสามารถกลับไปใช้ชีวิตและประกอบอาชีพในถิ่นฐานเดิมได้ หากไม่สามารถกลับได้ก็ต้องมีนโยบายรองรับและบริหารจัดการการอพยพย้ายถิ่นฐานอย่างมีระบบและเป็นธรรม เพื่อลดความตึงเครียดและสร้างความเข้าใจระหว่างกลุ่มคน นอกจากนี้การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการทรัพยากรข้ามพรมแดน และการสนับสนุนการปรับตัวของชุมชนที่เปราะบาง ต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับคนทั่วไปการมีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ ต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน เพราะปัญหานี้เป็นเรื่องของมนุษยชาติที่เราต้องร่วมกันแก้ไข และเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันให้ได้ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศค่ะ 9. คุณภาพทางโภชนาการของอาหารลดลง หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เรากำลังเผชิญอยู่ ไม่ได้แค่ทำให้เรามีอาหารน้อยลงหรือแพงขึ้นเท่านั้น แต่ยังกระทบในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่เรากินเข้าไปในแต่ละวันด้วยค่ะ ฟังดูน่าตกใจใช่ไหมคะ? ลองนึกภาพดูว่าเมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น หรือมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พืชหลายชนิด เช่น ข้าว ข้าวสาลี หรือพืชผักบางชนิด จะเจริญเติบโตเร็วขึ้นก็จริง แต่กลับสะสมสารอาหารที่จำเป็นบางอย่างได้น้อยลง จึงทำให้ผักผลไม้ที่เรากินมีวิตามินและแร่ธาตุไม่ครบถ้วนเท่าที่ควร แม้จะกินในปริมาณเท่าเดิมก็ตาม นอกจากนี้สภาพอากาศที่แปรปรวน เช่น ภัยแล้งหรือน้ำท่วม ยังทำให้ดินเสื่อมโทรม สารอาหารในดินลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของพืชที่ปลูกบนดินนั้นๆ และเมื่อสัตว์เลี้ยงกินพืชที่มีสารอาหารน้อยลง เนื้อ นม ไข่ ที่ได้จากสัตว์เหล่านั้น ก็สามารถมีคุณค่าทางโภชนาการลดลงตามไปด้วยเช่นกัน นี่คือปัญหาที่มองไม่เห็น แต่ส่งผลกระทบต่อคนเราในระยะยาวค่ะโดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้ที่อยู่ในภาวะขาดแคลนสารอาหารอยู่แล้ว ดังนั้นเราต้องหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพของอาหารควบคู่ไปกับปริมาณค่ะ อาจเริ่มจากการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชที่สามารถทนทานต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดี และยังคงรักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้อย่างครบถ้วน การส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืนและเกษตรอินทรีย์ ซึ่งช่วยบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ และลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย นอกจากนี้การกระจายการปลูกพืชหลากหลายชนิด ไม่ให้พึ่งพืชหลักแค่ไม่กี่ชนิด ก็จะช่วยสร้างความมั่นคงทางโภชนาการได้ดีขึ้น และในคนทั่วไปการเลือกบริโภคอาหารที่หลากหลาย เน้นผักผลไม้ตามฤดูกาลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และการตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีต่ออาหารของเรา ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราทุกคนมีสุขอนามัยที่ดีและได้รับสารอาหารครบถ้วน แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปค่ะ ที่โดยสรุปแล้วจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร แหล่งน้ำ ห่วงโซ่อุปทาน การระบาดของศัตรูพืช ไปจนถึงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารและเศรษฐกิจของเกษตรกร ทำให้เห็นได้ชัดว่า ความมั่นคงทางอาหาร ของเรากำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ นี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่กระทบถึงปากท้องของทุกคนโดยตรง และสิ่งที่เราต้องเรียนรู้คือการปรับตัว และการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า โลกที่เราเคยรู้จักกำลังเปลี่ยนแปลงไป และเราไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป การปรับตัวนี้รวมถึงการที่ภาครัฐต้องวางแผนนโยบายระยะยาว เกษตรกรก็ต้องหาวิธีเพาะปลูกที่ยั่งยืนและทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง และทุกคนในฐานะผู้บริโภคก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความคิด เพื่อให้เราสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนและสร้างอนาคตที่มั่นคงทางอาหารไปด้วยกัน สำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์หรือผู้ออกนโยบาย ถามว่าจุดไหนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้วในการรับมือกับปัญหานี้? คำตอบคือเมื่อเราเริ่มต้นจากการตระหนักรู้และเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริงค่ะ เพราะการที่เราเข้าใจว่าทุกการกระทำของเราส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมก็ส่งผลย้อนกลับมาสู่ชีวิตเราอย่างไร จากนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การลดการสร้างขยะ การประหยัดพลังงานและน้ำ การเลือกบริโภคอาหารที่มาจากแหล่งที่ยั่งยืนและไม่สร้างภาระให้โลก หรือแม้แต่การสนับสนุนสินค้าจากเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นอย่างเป็นธรรม และที่สำคัญคือการบอกเล่าเรื่องราวและส่งต่อความรู้ให้กับคนรอบข้าง เพื่อสร้างความตระหนักร่วมกัน เมื่อเราทุกคนทำในส่วนของตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยความเข้าใจและรับผิดชอบ นั่นคือจุดที่เราสามารถภูมิใจได้ว่าเรากำลังทำดีที่สุดแล้วในการปกป้องโลกและสร้างความมั่นคงทางอาหารสำหรับทุกคนค่ะ เพราะโดยส่วนตัวสำหรับผู้เขียนตอนนี้หันมาคัดแยกขยะแบบจริงจังค่ะ และได้นำขยะอินทรีย์ไปกองหมักทำปุ๋ยที่สวนด้วย สนับสนุนการเกษตรแบบปลอดสารพิษ อนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ ลดการสร้างน้ำเสียจากที่บ้าน ใช้พลังงานอย่างประหยัด เลือกซื้อพืชผักตามฤดูกาลจากคนในท้องถิ่น จัดเก็บอาหารและลดการเกิดขยะจากอาหารค่ะ และยังพยายามมีพื้นที่สีเขียวหน้าบ้าน ปลูกผักและสมุนไพรบางส่วนเอาไว้ทานเองในครัวเรือน จะว่าพยายามทำทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้จากที่บ้านก็ได้ค่ะ เพราะอย่างที่บอกไปว่าทุกกิจกรรมที่เราทำในระหว่างมีชีวิตอยู่ ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราทั้งนั้นค่ะ และความเสียหายในสิ่งแวดล้อมก็เชื่อมโยงไปหาแหล่งอาหารของเราด้วย พอจะมองภาพออกกันไหมคะ ยังไงนั้นอยากเชิญชวนคนไทยทุกคนหันมาร่วมด้วยช่วยกัน ที่อย่างน้อยลองมาช่วยกันลดสิ่งที่จะเพิ่มความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศค่ะ ที่อาจะเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวก่อนก็ได้ จากบ้านของเรา จากการเป็นตัวอย่างให้กับคนในซอยบ้านเราก็ได้ อะไรง่ายๆ ทำเลยค่ะ ช่วยกันนะคะ ด้วยความตั้งใจ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากสนใจเนื้อหาเช่นนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือบุ๊กมาร์กโปรไฟล์ไว้ เพื่อรับข้อมูลใหม่ๆ ในบทความต่อไป และถ้าต้องการอ่านบทความทั้งหมดโดยผู้เขียน ให้กดที่รูปโปรไฟล์ใต้ชื่อบทความนี้ได้เลยค่ะ เครดิตรูปภาพประกอบบทความ รูปภาพทำหน้าปก โดย Wirestock จาก FREEPIK และออกแบบหน้าปกโดยผู้เขียน ใน Canva รูปภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 โดย Dr.Vivasayam YouTube Channel จาก Pexels, ภาพที่ 2,4 และภาพที่ 3 จาก Pixabay โดย ผู้เขียน เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การบำบัดน้ำเสียและกำจัดสิ่งปฏิกูล 14 วิธีป้องกันมลพิษทางน้ำ มีอะไรบ้าง ลดปัญหาได้ ที่คุณควรรู้ 10 วิธีลดถุงพลาสติก แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ทำอะไรได้บ้าง ง่ายๆ ข้อดีของการกินอาหารหลากหลาย ไม่ซ้ำซากจำเจ มีอะไรบ้าง ควรรู้ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !