“เวลาเหมือนน้ำไหล ผ่านไปไม่คืนกลับ” ปรัชญานี้เป็นคำสอนของจีนที่พอได้ยินแล้วหลายๆคนอาจจะรู้สึกพอคุ้นๆหูอยู่บ้าง ปรัชญานี้เป็นของ “จูเก๋อเหลียง” หรือที่รู้จักในนามของ “ขงเบ้ง” กุนซือผู้เก่งกาจนักการเมืองและนักวางแผนในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นจากวรรณกรรมชื่อดังเรื่องสามก๊ก กาลเวลานั้นเปรียบเสมือนสายธารที่ไหลรินไปตามวัฏจักรของมัน เมื่อผ่านไปแล้วไม่สามารถทำให้ย้อนคืนกลับมาได้ สายน้ำนั้นมักจะไหลจากที่สูงลงไปที่ต่ำเสมอและไม่สามารถไหลย้อนกลับจากที่ต่ำขึ้นสู่ที่สูงได้ดังนั้นคำกล่าวนี้จึงเป็นคติพจน์ที่สามารถเตือนใจใครหลายคนได้เป็นอย่างดีว่าการที่กระทำสิ่งใดลงไปนั้นจะต้องคิดให้รอบครอบเพราะการที่เราได้ทำอะไรที่มันผิดพลาดลงไปแล้วเราไม่สามารถย้อนเวลากลับมาแก้ไขได้อีกแต่สิ่งที่ทำได้ก็คือจำความผิดพลาดนั้นเอาไว้ให้เป็นบทเรียน การให้เวลากับคนใกล้ตัวก็เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิท บางครั้งคุณก็มักจะคิดว่าพวกเขาน่ารำคาญที่คอยว่ากล่าวตักเตือนพวกคุณอยู่เสมอแต่ในช่วงเวลานั้นคุณไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไปล้วนเต็มไปด้วยความรักความห่วงใยที่มีต่อคุณ คุณอาจจะกำลังวิ่งตามหาความรักที่คุณคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีและทำให้คุณมีความสุขอยู่เสมอ บางครั้งก็เสียใจทนทุกข์ทรมานและทำอะไรโดยขาดความยับยั้งชั่งใจแต่ความรักที่บริสุทธิ์และมีอยู่จริงนั้นคือความรักของคนที่คุณมักจะมองข้ามไปอยู่เสมอนั่นก็คือความรักของพ่อแม่ เพียงแค่คุณทำอะไรลงไปโดยตัดสินใจเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบการตัดสินใจของคุณอาจจะทำให้คนที่รักคุณจริงๆเสียใจไปตลอดชีวิตและไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขหรือเริ่มต้นใหม่ได้ การใช้ชีวิตของเราในแต่ละวันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ในช่วงชีวิตของคนเรานั้นมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมามากมาย ในสมัยฉันยังเป็นเด็กพ่อของฉันเคยพูดกับฉันว่าเป็นเด็กนั้นดีที่สุดไม่ต้องคิดมากอะไรไม่ต้องทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเอง ในแต่ละวันก็คิดแค่ว่าจะเล่นอะไรดีแต่ในเวลานั้นฉันกลับเฝ้าใฝ่ฝันว่าฉันอยากจะโตเร็วๆจะได้เป็นผู้ใหญ่ได้ทำงานได้ไปไหนทำอะไรก็ได้ไม่ต้องถูกบังคับให้อยู่แต่บ้าน ในช่วงวัยเด็กของฉันนั้นเป็นช่วงที่ฉันมีความสุขมากๆเพราะเป็นเด็กไม่ต้องทำอะไรนอกจากวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ตอนเช้าไปโรงเรียนตอนเย็นกลับมาบ้านนอนดูโทรทัศน์ ทำการบ้าน วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ออกไปเล่นกับน้องๆและเพื่อนๆแถวบ้านแต่เมื่อโตขึ้นฉันจึงได้รู้ว่าสิ่งที่พ่อเคยพูดไว้นั้นไม่ใช่เรื่องที่โกหกหรือเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมาแต่อย่างใด ฉันยังนึกเสียดายที่ไม่สามารถใช้เวลาในวัยเด็กให้คุ้มค่านึกเสียดายเวลาที่ตัวเองมีความสุขมากที่สุด ตอนนี้ทั้งเรียนหนักรวมถึงต้องคิดถึงเรื่องของอนาคตว่าจะทำอะไรต่อไป เป็นผู้ใหญ่มันช่างน่าเบื่อจริงๆไม่มีความสุขสนุกสนานเหมือนตอนเด็กๆเลย ฉันรู้สึกเข้าใจคำพูดของพ่ออย่างลึกซึ้งก็เมื่อถึงเวลาใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัย ในขณะนั้นฉันต้องฝึกงานเป็นตัวสุดท้ายก่อนเรียนจบและเมื่อฉันต้องลงมือทำงานจริงๆฉันก็รู้สึกว่าฉันไม่รู้สึกสนุกสนานต่อไปอีกแล้วชีวิตในวัยทำงานมันช่างลำบากและกดดันเสียจริง เวลาที่ฉันนั่งฟังเพลงเก่าๆฉันมักจะคิดถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาในชีวิต ฉันอยากกลับไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆเหมือนเมื่อตอนยังเป็นเด็ก คิดถึงโรงเรียนและครูอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี นึกเสียดายวันเวลาที่มีค่าเหล่านั้นที่ไม่ตั้งใจเรียนเท่าที่ควรใครบอกก็ไม่ฟังมาถึงวันนี้รู้ซึ้งดีเลยว่าน่าจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ บางทีฉันรู้สึกท้อแท้และสิ้นหวังได้แต่โทษตัวเองที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไม่รู้ค่าของมันและเมื่อมันผ่านไปแล้วกลับหวนไปนึกถึงมันอีกจนได้แต่ถึงจะย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีตไม่ได้เราก็สามารถทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีที่สุดได้ ช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรานั้นถ้านับเป็นตัวเลขก็สั้นมากจนน่าตกใจ ฉันเคยอ่านเจอบทความหนึ่งในอินเตอร์เน็ทว่าคนเราสามารถมีอายุเฉลี่ยได้แค่ 60 ปี ถ้านับเป็นวันก็คือ 21,900 วันเท่านั้น 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาที่เหลืออยู่ 21,900 วัน คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ถ้านับเป็นสัปดาห์ 3,120 สัปดาห์ มีวันหยุดพักผ่อนเสาร์อาทิตย์แค่ 6,240 วันเท่านั้น และที่น่ากลัวมากๆก็คือบางคนใช่ว่าจะมีอายุถึง 60 ปี อาจเป็นเพราะเกิดจากปัจจัยหลายๆอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น โรคภัยไข้เจ็บต่างๆหรืออุบัติเหตุ เพราะฉะนั้นจะต้องหันกลับมาดูปฏิทินกันบ้างแล้วว่าแต่ละวันเราใช้เวลาทำอะไรลงไปบ้างได้ประโยชน์หรือไร้สาระมากแค่ไหนมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำหรือทำไม่เสร็จบ้างจงรีบทำก่อนที่มันจะสายเกินไป อย่าพูดแต่เพียงว่า “วันหลังค่อยทำก็ได้/ยังมีเวลาไม่เห็นต้องรีบทำก็ได้” คำพูดเหล่านี้ทำให้หลายคนเสียใจมานักต่อนักแล้วแต่ให้เปลี่ยนมาคิดว่า “ถ้าวันพรุ่งนี้ฉันตายวันนี้ฉันจะทำอะไรดี” แทนจะดีกว่า ฉันยังจำได้ดีถึงคำพูดของอาจารย์ตอนสมัยเรียนวิชาพระพุทธศาสนาช่วงสมัยมัธยมปลาย อาจารย์ของฉันบอกฉันและเพื่อนๆในห้องว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนท์ว่าให้เรานึกถึงความตายทุกวินาที พระอานนท์นั้นเป็นสหชาติและพุทธอุปัฏฐากของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเปิดหนังสือที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาจะพบว่ามีประโยคหนึ่งที่พระพุทธองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า “อานนท์ เธอคิดถึงความตายวันละกี่ครั้ง อานนท์ตอบว่า วันละเจ็ดครั้งพระเจ้าค่ะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า น้อยไปอานนท์ เธอต้องคิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้า-ออก” และอาจารย์ของฉันยังพูดติดตลกต่อไปอีกว่า “เวลานี้พวกเธอทุกคนนั่งเรียนกันอยู่ในห้องตามปกติแต่ถ้าเดินออกไปนอกห้องแล้วบางคนอาจจะไปสะดุดขาเพื่อนตกบันไดตายก็เป็นไปได้เพราะอย่างนั้นอยากทำอะไรก็รีบทำใช้เวลาให้เป็นประโยชน์จะได้ไม่นึกเสียใจทีหลังถ้าไม่ได้ทำ” ถ้ากล่าวถึงการย้อนเวลาหรือการเดินทางสู่อดีตหลายคนก็มักจะนึกถึงเครื่องมือที่ใช้ย้อนเวลาหรือที่เราเรียกกันว่า “เครื่องไทม์แมชชีน” ฉันเคยดูภาพยนตร์อยู่เรื่องหนึ่งซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต ชื่อเรื่องคือ เดอะ ไทม์แมชชีน ซึ่งเนื้อหาก็เกี่ยวกับพระเอกซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ลงมือสร้างเครื่องย้อนเวลาเพื่อกลับไปช่วยเหลือคนรักที่เสียชีวิตไปจากอุบัติเหตุซึ่งถ้ามันมีอยู่จริงๆฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่วิเศษมากเพราะฉันเชื่อว่ามีหลายคนที่อยากใช้ประโยชน์จากมันรวมทั้งตัวของฉันด้วย ได้รู้แบบนี้แล้วคุณยังอยากจะปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์อีกไหม ยังคงมีกิจกรรมอีกหลายอย่างที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมาทำเพื่อฆ่าเวลา พวกเขาเหล่านั้นคงคิดว่าเวลาของพวกเขามีมากมายเสียจริงจึงได้ทำกิจกรรมฆ่าเวลากัน เมื่อท่านได้อ่านบทความเรื่องนี้แล้วมันอาจจะมีประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย แต่ขอให้คำนึงไว้ว่าเวลาไม่ได้อยู่กับเราทั้งชีวิตเพราะฉะนั้นควรใช้มันให้อย่างคุ้มค่าอย่าปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆควรหยิบฉวยใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด เพราะคนเราจะรู้จักคุณค่าของเวลาก็เมื่อเสียมันไปแล้ว ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาทีมีค่ามากแค่ไหน ลองไปถามคนที่รอดชีวิตอย่างหวุดหวิดจากอุบัติเหตุ แล้วคุณจะเข้าใจคำว่าคุณค่าของเวลามากขึ้น..."รูปภาพโดยผู้เขียน" เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !