กัมพูชาขู่ปิดด่านชายแดน ใครเสียประโยชน์มากที่สุด?

คำขู่จากกัมพูชากับแรงกดดันใหม่ที่ชายแดนไทย
คำขาดของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่เรียกร้องให้ไทยเปิดด่านชายแดนทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมง มิฉะนั้นจะมีมาตรการตอบโต้โดยการปิดด่านทุกแห่งและระงับการนำเข้าสินค้าจากไทย เป็นจุดเริ่มต้นของความกังวลรอบใหม่ต่อระบบเศรษฐกิจชายแดนและความมั่นคงในภูมิภาค
การขู่ปิดด่านและแบนสินค้า ไม่เพียงมีนัยทางการเมือง แต่ยังเป็นแรงสั่นสะเทือนโดยตรงต่อกลุ่มแรงงาน ผู้ประกอบการ ชุมชนชายแดน และห่วงโซ่อุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกันมายาวนาน
มูลค่าการค้าชายแดน และบทบาทของด่านหลัก
จากข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ การค้าชายแดนไทย–กัมพูชาในปี 2567 มีมูลค่ารวม 175,530 ล้านบาท โดยการส่งออกจากไทยอยู่ที่ 141,846 ล้านบาท และนำเข้าจากกัมพูชา 32,684 ล้านบาท
ด่านชายแดนที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุด ได้แก่
• อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว 63.4%
• คลองใหญ่ จังหวัดตราด 16.8%
• ด่านในจังหวัดจันทบุรี 15.3%
รวมกันแล้ว 3 ด่านนี้ครองสัดส่วนกว่า 95.5% ของการค้าชายแดนทั้งหมด หากปิดพร้อมกัน การค้าจะหยุดชะงักเกือบทั้งระบบ หรือคิดเป็น 90% ตามการประเมินของกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ประเมินไว้ล่วงหน้า
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า หากเกิดกรณีปิดด่านชายแดนแบบสมบูรณ์ 100% มูลค่าการค้าชายแดนที่สูญเสียจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อเดือน ความเสียหายนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขในเชิงสถิติ แต่หมายถึงรายได้ที่หายไปของเกษตรกร คนขับรถขนส่ง ผู้ค้ารายย่อย และธุรกิจท้องถิ่นจำนวนมาก
สินค้าที่ส่งออกหลัก เช่น ทุเรียน มังคุด เงาะ เครื่องดื่ม เครื่องจักรกลทางการเกษตร รวมถึงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม จะหยุดนิ่งในทันที หากไม่มีช่องทางอื่นทดแทนได้ในระยะสั้น ขณะที่ผู้ส่งออกจะต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนเส้นทางการขนส่ง
แรงงานและชุมชนชายแดนคือกลุ่มเปราะบาง
แรงงานกัมพูชาที่ทำงานในไทยมีจำนวนหลายแสนคน ส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตร อุตสาหกรรมเบา และบริการ หากเกิดการดึงกลับประเทศจะส่งผลกระทบทั้งสองฝั่ง ฝั่งไทยจะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานทันที ขณะที่แรงงานกัมพูชาจะต้องเผชิญกับปัญหาการว่างงานและขาดรายได้
ชุมชนชายแดนที่พึ่งพาด่านในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินทางไปโรงพยาบาล การทำธุรกรรมรายวัน หรือแม้แต่การไปเยี่ยมญาติข้ามประเทศ จะถูกจำกัดอย่างกะทันหัน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตถดถอยในช่วงเวลาสั้นๆ โดยไม่สามารถปรับตัวทันได้
ความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนที่ต้องจับตา
การปิดด่านมักมาพร้อมกับการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยและการตรึงกำลัง ซึ่งอาจสร้างความกดดันในพื้นที่โดยเฉพาะจุดที่มีข้อพิพาทชายแดน การเพิ่มระดับความตึงเครียดโดยปราศจากช่องทางเจรจา อาจเพิ่มโอกาสการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์
นอกจากนี้ ช่องทางธรรมชาติหรือเส้นทางลักลอบอาจกลายเป็นเป้าหมายของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบขนยาเสพติด ค้ามนุษย์ หรือกลุ่มสแกมเมอร์ข้ามชาติที่ใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการเคลื่อนย้ายกำลังคนและทรัพย์สิน
ทางออกและแนวโน้มจากฝั่งไทย
แม้จะเผชิญคำขู่ระดับสูงจากฝั่งกัมพูชา แต่ฝ่ายไทยยังคงใช้กลไกการทูตอย่างระมัดระวัง โดยยืนยันว่าจะใช้เวทีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นช่องทางหลักในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ
ไทยยังย้ำว่ามาตรการใด ๆ ที่ใช้ตอบโต้จะอยู่ในระดับรัฐต่อรัฐ โดยไม่พาดพิงหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ
สรุปภาพรวม ใครเสียประโยชน์มากที่สุด?
• ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกผลไม้ อุตสาหกรรมการผลิต และโลจิสติกส์
• แรงงานกัมพูชาในไทย ที่อาจถูกเรียกตัวกลับทันที
• ประชาชนตามแนวชายแดน ที่มีวิถีชีวิตพึ่งพาการข้ามแดน
• ระบบเศรษฐกิจท้องถิ่น ที่สูญเสียมูลค่าหมุนเวียนรายวัน
• เสถียรภาพการลงทุน ที่อาจถูกมองว่าขาดความแน่นอน
ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังพัฒนา การรักษาช่องทางการเจรจาและหลีกเลี่ยงความตึงเครียดทางสื่อและโซเชียลมีเดีย คือเงื่อนไขสำคัญที่ทั้งสองประเทศต้องระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการนำความขัดแย้งสู่ระดับที่ไม่อาจควบคุมได้ในระยะยาว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
