กาญจนบุรี เจ้าหน้าที่สนธิกำลัง รวบ 7 แรงงานผิดกม. รับมุ่งหน้าทำงานปทุมธานี-อมน้อย
กาญจนบุรี เจ้าหน้าที่สนธิกำลัง รวบ 7 แรงงานชายหญิงชาวเมียนมา เข้าเมืองผิดกฎหมาน สารภาพมุ่งหน้าทำงานปทุมธานี อ้อมน้อย ค่าหัว 18,000 บาทต่อคน
จากนโยบายของนายจีระเกียรติ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พล.ต.บรรยง ทองน่วม ผบ.พล.ร.9 พล.ต.ต.ไพโรจน์ คุ้มภัย ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี พ.อ.เฉลิมพล ชัดใจ ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ พ.อ.ธัชเดช อาบัวรัตน์ รอง.ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ พ.ต.อ.สุกิจ ก้องจตุศักดิ์ ผกก.กก.ตชด.13 (ค่ายพระพุทธยอดฟ้า) พ.ต.อ.อำนาจ โฉมฉาย ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี
นายธนณัฎฐ์ ศรีสันต์ นายอำเภอเมืองกาญจนบุรี ให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานในแต่ละสังกัดสนธิกำลังเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทุกชนิด โดยเฉพาะการลักลอบข้ามชายแดนเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมายของแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ล่าสุดเมื่อเวลา 02.00 น.วันนี้ 12 ต.ค.64 นายธนณัฎฐ์ ศรีสันต์ นายอำเภอเมืองกาญจนบุรี ได้รับรายงานจาก นายพนมกร คล้ายเมือง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 นายเรวัฒ เหลืองแดง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 15 ต.บ้านเก่า อ.เมืองกาญจนบุรี พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจร่วมช่องเขาหนีบ
ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ทหารชุด มว.ลว.ที่3 ฉก.ลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่ชุดปฎิบัติการข่าว กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกาญจนบุรี และเจ้าหน้าที่ อส.อ.เมืองกาญจนบุรี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมาหลบซ่อนตัวอยู่ป่าละเมาะใกล้กับสะพาน 1 บ้านใหม่ห้วยน้ำขาวท้องที่ หมู่ 15 ต.บ้านเก่า หลังรับแจ้งจึงร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบ
พบแรงงานชาวเมียนมา จำนวน 7 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 6 คน หลบซ่อนตัวอยู่จริง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุม แต่เพื่อความไม่ประมาท เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจวัดอุณหภูมิไข้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ (เดลต้า) ผลปรากฏทุกคนมีอุณหภูมิในร่างกายเป็นปกติ ไม่เกิน 37.5 องศาฯ
จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า แรงงานทั้ง 7 ราย เดินทางมาจาก จ.ทวาย ประเทศเมียนมา โดยมีเป้าหมายมุ่งหน้าไปทำงานในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จำนวน 2 ราย และไปทำงานในพื้นที่ ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร จำนวน 5 ราย โดยจ่ายค่าหัวให้กับนายหน้าชาวเมียนมา คนละ 18,000 บาท แต่มาถูจับกุมตัวเสียก่อน
หลังจากแรงงานทั้ง 7 รายยอมรับสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงถ่ายภาพทำประวัติเอาไว้ และส่งตัวให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินคดี เพื่อผลักดันกลับประเทศต้นทางต่อไป