BEM โบรกฯ มองราคา Laggard ย่อตัวโซน 8.25-8.60 บ. จังหวะสอย
บล.หยวนต้า ส่องหุ้น BEM คาดรายได้และกำไรปกติใน Q2/66 ที่ 3.9 พันลบ. (-5.1% QoQ, +19.2% YoY) และ 820 ลบ. (+9.4%QoQ, +29.3% YoY) ตามลำดับ
รายได้แบ่งออกเป็น 1) ธุรกิจทางด่วนคาดที่ 2.3 พันลบ. (+0.2% QoQ,+17.4% YoY) ยังทรงตัว QoQ แต่เติบโตเด่น YoY ในทิศทางเดียวกับปริมาณผู้ใช้ทางด่วนเฉลี่ย Q2/66 ที่ 1.09 ล้านเที่ยว/วัน (-2.6% QoQ, +7.1% YoY) 2) ธุรกิจระบบรางคาดที่ 1.4 พันลบ. (-13.1% QoQ, +22.5% YoY) ลดลง QoQ จากการมีวันหยุดเทศกาลจำนวนมากใน Q2/66 ส่งผลให้ปริมาณผู้ใช้รถไฟฟ้า Q2/66 เฉลี่ยที่ 3.52 แสนเที่ยว/วัน (-7.8% QoQ, +52.4% YoY) แต่ฟื้นตัวเด่น YoY สะท้อนจากปริมาณผู้ใช้รถไฟฟ้าสูงกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาด COVID-19 ในปี 2562 ที่ 3.37 แสนเที่ยว/วัน และ 3) ธุรกิจเชิงพาณิชย์คาดที่ 245 ลบ. (-3.8% QoQ, +18.5% YoY) ซึ่งผันแปรไปตามจำนวนผู้ใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้าถึงแม้รายได้จะชะลอตัวลง QoQ
แต่ฝ่ายวิจัยคาดกำไรปกติใน Q2/66 จะเติบโต 9.4% QoQ และ 29.3% YoY เนื่องจากมีแรงหนุนจากเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 333 ลบ. แบ่งเป็นเงินปันผลจากบริษัท TTW จำนวน 215 ลบ. และจากบริษัท CKP 117 ลบ.
ถึงเวลาสายสีน้ำเงินเริ่มแสดงศักยภาพที่แท้จริง บริษัทรายงานปริมาณผู้ใช้ทางด่วน 1H66 เฉลี่ยที่ 1.14 ล้านเที่ยว/วัน (+12.1% YoY) ทำจุดสูงสุดใหม่ ในช่วงปี 2563-2565 หลังเกิดการระบาด COVID-19 หรือฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องแล้วกว่า 90% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนเกิด COVID-19 และคิดเป็น 95.6% เมื่อเทียบกับเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2566 ของบริษัทที่ 1.19 ล้านเที่ยว/วัน
สำหรับปริมาณผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 1H66 เฉลี่ยอยู่ที่ 3.66 แสนเที่ยว/วัน (+75.0% YoY) ทำจุดสูงสุดใหม่ตั้งแต่เปิดให้บริการมา สาเหตุหลักเป็นผลจากสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายผนวกกับความกังวลต่อสถานการณ์ COVID-19 ที่ลดลง ส่งผลให้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินได้เริ่มแสดงศักยภาพที่แท้จริง บริษัทวางเป้า ณ สิ้นปี 2566 เฉลี่ยที่ 4.00 แสนเที่ยว/วัน
ภาพรวมฝ่ายวิจัยมองธุรกิจทางด่วน-รถไฟฟ้าจะเติบโตต่อเนื่องช่วง 2H66 เพราะได้ปัจจัยหนุนจาก 1) รถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่พึ่งเปิดให้บริการช่วยให้เกิด Synergy และ Feed ผู้โดยสารเข้ามาเพิ่มในสายสีน้ำเงิน 2) เข้าสู่ช่วง High Season ในช่วง Q3/66 และ 3) จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนที่คาดจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังสายสีส้มรอความชัดเจน แต่ถือเป็น Upside Risk ที่ยังไม่รวมในประมาณการแม้รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ) ที่ทางบริษัทได้ชนะการประมูลจะถูกเลื่อนจากปัจจัยทางการเมือง แต่คาดจะเห็นความคืบหน้าหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และเห็นความชัดเจนภายในช่วง Q3/66 เบื้องต้นจะคิดเป็น Upside risk ต่อราคาเหมาะสมที่ระดับ 1.50-2.00 บาท/หุ้น และยังไม่รวมในประมาณการ
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาหุ้นยัง Laggard ปริมาณผู้ใช้ทางด่วน-รถไฟฟ้า ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 11.50 บาทหุ้น (DCF WACC 5.2%, T.G. 2%) ฝ่ายวิจัยมองว่าราคายังอยู่ในระดับที่ต่ำหากเทียบกับช่วงเกิด COVID-19 ในขณะที่ 1H66 ปริมาณผู้ใช้รถไฟฟ้าเฉลี่ยต่อวันได้ทำ New High ไปแล้วจากการเปิดบริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินแบบเต็มวง และปริมาณผู้ใช้ทางด่วนก็ฟื้นตัวกลับมาแล้วกว่า 90% ครึ่งปีหลังคาดสดใสกว่าครึ่งปีแรกจากหลายปัจจัยบวกที่รออยู่ แนะนำทยอยสะสมจังหวะราคาย่อตัวลงมาในโซน 8.25-8.60 บาท/หุ้น