มีเรื่องเล่าลึกลับเกี่ยวกับโลกของดนตรี ในการทำสัญญาหรือ ข้อตกลงหรือถึงขั้นใช้คำว่าขายวิญญานให้ปีศาจ ‘โรเบิร์ต จอห์นสัน’(Robert Johnson) อาจถือได้ว่าเป็นดั่งปฐมบทของเรื่องราวลึกลับดังกล่าว ศิลปินวณิพกในแนวดนตรีเพลงบลูส์ ผู้พเนจรได้ร่อนเร่ไปจนถึงสี่แยกแห่งโชคชะตา ได้พบกับปีศาจที่บอกเขาว่าจะบันดาลให้เขากลายเป็นเจ้าแห่งดนตรีบลูส์ แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั่นคือชีวิตของเขา!!!หลังจากนั่นเพียงไม่นาน นักดนตรีพเนจรที่หมอนยังไม่มีหนุนนอนตอนหลับ กลับกลายมาเป็นสุดยอดมือกีตาร์ระดับตำนาน แห่งวงการเพลงบลูส์ จนน่ามหัศจรรย์ มีฝีมือบรรเลงที่จะหาใครเทียบเทียม ประสบความสำเร็จสูงสุดอย่างรวดเร็ว และก็ได้ลาจากโลกนี้ไปด้วยเวลาอันรวดเร็วที่น่าตกใจยิ่งกว่าในอายุเพียง 27 ปีเท่านั่น!!เรื่องราวได้เล่าขานต่อกันมาเรื่อยๆ จนได้มีการนำมาทำเป็นภาพยนตร์ ในชื่อเรื่อง “Crossroads” (1986) และยังได้กลายมาเป็นต้นแบบให้กับมือกีตาร์อีกหลายๆคนที่อยากเดินตามรอยเท้าของ โรเบิร์ต จอห์นสัน เผื่อว่าจะได้ค้นพบเส้นทางสู่สี่แยกแห่งโชคชะตานั่นบ้างทุกสิ่งนั่นเมื่อเดินทางผ่านกาลเวลามาสักช่วงหนึ่งแล้ว ย่อมหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องพบเจอกับทางแยกเสมอ ไม่ว่าจะเป็น อารยธรรม, ปรัชญา, ศิลปะ วัฒนธรรม, ระบบสังคม, ศาสนา หรือแม้แต่ความเชื่อ อยู่ที่ว่ากระบวนทัศน์ในช่วงเวลานั่นๆจะนำพาให้เลี้ยวไปทางใด ในห้วงเวลาที่ต้องเลือก ยามที่ทางแยกกางผายอยู่ตรงหน้า พร้อมแสดงเพียงภาพต้นทางที่ไร้ซึ่งคำตอบแห่งจุดหมายปลายทาง เป็นเหมือนดั่งโจทย์ที่ไม่อยากตอบ แต่ก็ต้องกรอกก่อนหมดเวลามีนักคิด นักเขียน นักปรัชญา หลายคน ได้เสนอแนวคิดที่ว่า แนวทาง และหลักคำสอนของศาสนาพุทธ นั่นเป็นวิทยาศาสตร์!! สิ่งที่ผมอยากชวนคิดคือ มันเป็นอย่างนั่นจริงๆหรือไม่?? แล้วความสงสัยก็ผุดมาต่อว่า ทำไมต้องเอาไปเทียบกับวิทยาศาสตร์ด้วย??? ทำไมถึงไม่มีแนวคิดแบบที่ว่า ศาสนาพุทธเป็นประชาธิปไตย , ศาสนาพุทธเป็นคอมมิวนิสต์, หรือศาสนาพุทธเป็นศิลปะ หรือเป็นเพราะว่าในยุคที่วิทยาศาสตร์โอบรัดระบบความคิดของโลกไว้ วิทยาศาสตร์ก็เปรียบดั่งธงที่ปักไว้ที่ ยอดเขาเอเวอเรสต์ ยามที่นำความคิดความเชื่อใดมาเปรียบด้วยแล้วก็เหมือนดั่งได้ยืนอยู่ตรงจุดเดียวกับที่ยอดธงลงปักในการเปรียบระหว่าง พุทธศาสนา กับวิทยาศาสตร์ดั่งกล่าว อาจเพื่อจุดประสงค์ให้เห็นว่าพุทธศาสนาที่มีมานานกว่า 2500 ปีนั่น มีความทันสมัย และเป็นการ เพิ่มค่า เพิ่มเครดิตให้เกิดความน่าเชื่อในวงกว้างแบบเป็นสากล (International)วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เริ่มปรากฎขึ้นเมื่อราว 500 ปีก่อนในแถบยุโรป นั่นคือการค้นพบของนักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์นามว่า‘นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส’ (Nicolaus Copernicus) ผู้ซึ่งได้ปฏิรูปแนวความคิดเกี่ยวกับเอกภพ และศูนย์กลางของจักรวาล แต่บุคคลที่ถือได้ว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่คนแรกนั้นคือ ‘กาลิเลโอ กาลิเลอิ’ (Galileo Galilei)ภาพประติมากรรม Galileo Galileiในสมัยตอนผมเด็กๆ แม่มักจะพาผมไปฝากไว้ที่บ้านญาติเวลาที่ท่านต้องทำงาน ที่นั่นไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกันที่จะวิ่งเล่นด้วย แต่เต็มไปด้วยหนังสือที่เด็กอย่างผมอ่านไม่เข้าใจ แต่มีหนังสือภาพการ์ตูนอยู่เล่มหนึ่ง ชื่อเรื่อง ‘กาลิเลโอ’ เป็นการ์ตูนภาพวาดลงสีสวยงามที่เล่าเรียงถึงประวัติของกาลิเลโอ อย่างสนุกสนาน ผมจำไม่ได้ว่าอ่านมันไปกี่รอบ แต่ทุกครั้งที่ผมไปอยู่ที่นั่นผมจะต้องหยิบมันขึ้นมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เคยเบื่อ ตอนนั่นผมไม่เข้าใจว่า วิทยาศาสตร์คืออะไร และนักวิทยาศาสตร์คืออาชีพแบบไหน แต่ว่ากันไปแล้วนอกจาก กาลิเลโอ จะเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกแห่งโลกวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ยังถือได้ว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกในความทรงจำของชีวิตผมอีกด้วยแนวทางของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ คือ ให้ความสำคัญกับการสังเกต และวัดอย่างละเอียด รวมถึงต้องอธิบายที่มาที่ไปอย่างสมเหตุสมผล และคำอธิบายใดๆจะเป็นองค์ความรู้ได้ต้องได้รับการสนับสนุนโดยการทดลอง หรือการสังเกตที่ผ่านการใช้อุปกรณ์ที่สามารถตวงวัดได้ เพื่อช่วยเพิ่มขอบเขตในการรับรู้ของมนุษย์ต่อธรรมชาติ เช่น การใช้กล้องโทรทรรศน์เพื่อมองเห็นดวงดาวที่ไกลแสนไกล หรือการใช้กล้องจุลทรรศน์ในการส่องมองเชื้อโรค เป็นต้นข้อที่น่าสังเกตคือ ในการนำวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ มาเปรียบเทียบว่าเหมือนกันกับศาสนาพุทธนั่นอาจไม่ใช่เรื่องผิดเสียทีเดียว แต่มันออกจะเป็นความคิดที่ตื้นเขินไปเสียหน่อย จริงอยู่ที่แนวทางตั้งต้นของทั้งสองศาสตร์นั่นใกล้เคียงกัน คือให้ความสำคัญกับการสังเกต-ทดลอง และหาคำตอบด้วยความมีเหตุและผล แต่ก็เปรียบได้แค่เหมือนคนเดินร่วมทางมาในถนนแห่งความคิดเดียวกันในช่วงเริ่มต้น แต่เมื่อคราวมาถึงทางแยกแห่งกระบวนทัศน์นั่น กลับเลี้ยวกันไปคนละทาง !!!ในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อาจถือได้ว่าเป็นยุคที่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ได้สะสมองค์ความรู้มาถึงระดับที่ปรับนำมาใช้ประโยชน์กับอารยธรรมมนุษยชาติ ต่อหัวดันท้ายด้วยคำว่า “นวัตกรรม”(Innovation) และ เทคโนโลยี (Technology) ทั้งในด้านชีววิทยา ,เคมี และฟิสิกส์ ก่อเกิดทั้ง เครื่องยนต์ ไฟฟ้า การขุดเจาะพลังงาน สารเคมี พันธุวิศวกรรม และอีกนับไม่ถ้วน ทำให้อารยธรรมมนุษย์ที่มีมานับหมื่นๆปี ก้าวกระโดดอย่างมหัศจรรย์เพียงช่วงเวลาแค่ 300 ปีทางเลี้ยวที่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เลือกนั่นคือ การใช้นวัตกรรม และเทคโนโลยี แก้ไขเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ให้เกิดความสะดวกสบายต่อมนุษย์มากขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นการเดินทางลำบากขรุขระก็เปลี่ยนให้เป็นถนนเลียบ ตัดตรงผ่านภูเขา แม่น้ำ ลำธาร เพื่อให้เกิดเส้นทางที่ใกล้ที่สุด หรืออย่างการขุดเจาะเอาสิ่งที่ธรรมชาตินั้นได้กลบปิดป้องกันไว้ด้วยแผ่นดิน และผืนน้ำอันยิ่งใหญ่ ขึ้นมาแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน เช่น น้ำมันดิบ ก๊าซ และแก๊ส เพื่อนำมาใช้ตอบสนองการดำรงชีวิตให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ที่น่าสังเกตคือ ในขณะที่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ แสดงบทบาทแห่งผู้ครอบครอง เปลี่ยนแปลง และแก้ไขธรรมชาติ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและความสะดวกสบายของมนุษย์ พุทธศาสนากลับเลือกทางเลี้ยวที่แตกต่างออกไปแนวคิดในทางแยกของศาสนาพุทธ หากพิจารณาดีๆแล้ว เราเป็นได้แค่ “ผู้สังเกตการณ์”(Observer) ไม่ใช่ “ผู้เปลี่ยนแปลง-แก้ไข” ต่อธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมันบริบูรณ์อยู่อย่างนั่น ตั้งแต่ก่อนอารายธรรมมนุษย์จะอุบัติขึ้นมาเสียอีก แล้วเราจะเข้าใจถึงขั้นเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดำรงอยู่และสร้างเราขึ้นมาอย่างที่ เด็ดดอกไม้จะไม่ให้สะเทือนถึงดวงดาวได้อย่างไร?? พุทธศาสนาจึงมีคำแนะนำในทำนองที่ว่าจงอยู่ร่วม และสัมผัสทุกสรรพสิ่งอย่างแผ่วเบาที่สุดแม้จะสัมผัสด้วยลมหายใจก็ตามทีหากพิจารณาต่อไปอีก เราจะสัมผัสได้ถึงแนวทางแนะนำของ พุทธศาสนา ในการเป็นผู้สังเกตการณ์ ให้สังเกต ทดลอง พิจารณาเหตุและผล แต่จะไม่เน้นเปลี่ยนแปลงแก้ไข!! เพียงแค่พิจารณาว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร เช่น คำแนะนำ ที่ว่า ยามใดสุขก็ให้รู้ว่าสุข ยามใดทุกข์ ก็ให้รู้ว่าทุกข์ หรือแม้ยามใดไม่สุขไม่ทุกข์ ก็ให้สังเกตและรับรู้ถึงสภาวะนั่นๆ หรือคำแนะนำว่า ปวดตรงขา เมื่อยตรงไหล่ เจ็บตรงแขน ก็ให้พิจารณาถึงสภาวะและความทุกข์ที่เกิดจากอาการเหล่านั่นไป เป็นต้นข้อสังเกตที่น่าสนใจและชวนคิดกันต่อคือ มองกันดีๆแล้ว แนวทางแบบพุทธศาสนานี้ แนะให้เราอยู่ร่วมแบบถ่อมตน ไม่ใช่ การหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกับธรรมชาติ เพราะเมื่อใดที่เราหลอมรวมเข้ากับธรรมชาติแล้ว เราจะไม่ใช่ “ผู้สังเกตการณ์” อีกต่อไป อุปมาดังเราจะเห็นตัวเราเองได้อย่างไร ถ้าไม่มีกระจก หรือสายตาของผู้อื่นที่มองมาจากภายนอก เช่นเดียวกัน ถ้าเราหลอมเข้าเป็นธรรมชาติแล้ว เราก็จะไม่เห็นความ “ผิดธรรมชาติ” และยังทำให้ไม่มีช่องว่างให้เราได้พัฒนาอารยธรรมของมนุษยชาติต่อไปอีกด้วย เช่น หากเราเอาแต่นั่งสมาธิเฉยๆนิ่งๆ วันๆไม่ทำอะไร จะต่างอะไรกับหินก้อนหนึ่ง!! นี้แสดงว่าเราได้หลอมรวมจนกลายเป็นธรรมชาติไปเสียแล้ว ซึ่งโดยความคิดเห็นส่วนตัวแล้วแบบนี้ไม่ถูกต้อง สิ่งที่พุทธศาสนาได้แนะนำไว้น่าจะเป็นการอยู่ร่วม และสังเกตการณ์ ในยามที่ทำสมาธิให้พิจารณาด้วยว่าสิ่งใดบ้างมากระทบเราทั้งอารมณ์ ,ความรู้สึก และความคิด จากนั่นก็ใช้สติ และปัญญาพิจารณาหาเหตุผลแห่งมัน แล้วเติมเต็มช่องว่างระหว่างเรากับธรรมชาติด้วยการพัฒนาและปรับปรุง ให้เราได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสะดวกสบายขึ้น จนถึงพัฒนาอารายธรรมมนุษยชาติให้ก้าวต่อไปอีกขั้นการถูกทำลายของชั้นโอโซน จากผลกระทบของสาร CFC จนเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก(Green House Effect) ส่งผลเสียต่อความเป็นอยู่และสุขภาพ หรือการทำถนน ผ่าทางระเบิดภูเขาจนไปกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาของพืช และสัตว์ การเกิดระเบิดของฐานขุดเจาะน้ำมัน และก๊าซในมหาสมุทร ส่งผลต่อคราบน้ำมันปริมาณมหาศาล คร่าชีวิตสัตว์ทะเลและทิ้งแผลเป็นไว้กับผืนน้ำอีกหลายศตวรรษ การปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของอุตสาหกรรม การเผาไหม้พลังงานจากเครื่องยนต์ การใช้อุปกรณ์สื่อสาร และคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จนทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate change) การพัฒนาอาวุธทำลายล้าง และสงคราม ยังมีอีกหลายต่อหลายปรากฎการณ์ที่ส่งผลมาจากแนวทางแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ที่เน้นการ “เปลี่ยนแปลงแก้ไข” มากกว่าการ “อยู่ร่วมและปรับปรุง”ศาสนาพุทธ ได้ออกเดินทางมาก่อน วิทยาศาสตร์ยุคใหม่กว่าสองพันปี และแน่นอนที่ พุทธศาสนาได้เดินทางมาถึงทางแยกแห่งการใช้กระบวนทัศน์และองค์ความรู้ก่อน แต่ยามที่วิทยาศาสตร์เดินทางตามมาถึงกลับไม่ได้สนใจต่อร่องรอยล้อเกวียนที่พุทธศาสนาทิ้งไว้เป็นแนวทางว่าได้เลี้ยวไปทางใด วิทยาศาสตร์ยุคใหม่นั่นได้เลือกเลี้ยวไปคนละทาง โดยใช้องค์ความรู้ กับกระบวนทัศน์ที่แตกต่างออกไป ส่วนตัวแล้วผมไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าทางเลี้ยวใดคือทางที่ถูกต้อง และเหมาะสมต่อมนุษยชาติที่สุด แต่สิ่งที่ผมแน่ใจได้คือ การ กล่าวอ้างว่า ศาสนาพุทธ เป็น วิทยาศาสตร์ นั่น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง!!!สิ่งที่น่าสนใจ คือ ในยุคหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม สู่ยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร อินเตอร์เน็ต และโลกเสมือน เราจะเห็นแนวทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่บางส่วนได้ U-Turn กลับรถมาตั้งตนตรงแยก และก้มมองลองหา รอยล้อเกวียนอีกครั้ง เพื่อลองเลี้ยวไปตามแนวทางแห่งพุทธศาสนา จนเกิดแนวคิดเกี่ยวกับ “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” (Sustainable development) ในช่วง2-3ทศวรรษที่ผ่านมาได้ชัดเจน เช่น การใช้พลังงานแบบอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างถ่อมต้น ไม่ว่าจะเป็น การผลิตพลังงาน จากโซล่าเซลล์ จากกังหันลม จากน้ำ หรือจากความร้อน เป็นต้น ยังมีการวิจัยถึงการพัฒนาปุ๋ยชีวมวลจากพืชและสัตว์ และสารเคมีอีกหลายๆอย่างที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เหล่านี้อาจทำให้วิทยาศาสตร์เข้าใกล้กับ ศาสนาพุทธ มากขึ้นอีกสักหน่อยก็เป็นได้ ศาสนาพุทธ ได้เลือกทางเลี้ยวที่ถูกต้องและเหมาะสมกับมนุษยชาติหรือไม่ ก็ต้องรอดูกันต่อไป แต่การจะนำเอาพุทธศาสนา มาเทียบเคียงว่าเป็นวิทยาศาสตร์นั่นยังไม่ถูกต้อง จะว่าไปแล้วถ้าอยากจะเปรียบเทียบจริงๆ เป็นผมจะเปรียบวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เป็นดั่ง ‘โรเบิร์ต จอห์นสัน’ ตำนานเพลงบลูส์ผู้ล่วงลับ ดูจะเหมาะสมถูกต้องเสียมากกว่า เพราะยามเดินไปจนถึง สี่แยก(Crossroads)แห่งโชคชะตาแล้ว เมื่อตัดสินใจทำข้อตกลงกับปีศาจ ยามเมื่อความรุ่งเรือง ยิ่งใหญ่มารวดเร็วราวปาฏิหาริย์ ราคาที่ต้องจ่ายนั่นก็อาจถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน / JPW ขอขอบคุณภาพปกและภาพประกอบบทความภาพปก โดย Chris LeBoutillier จาก unsplash.comภาพที่ 1 โดย Vladislav Babiehko จาก unsplash.comภาพที่ 2 โดย K.Mitch Hodge จาก unsplash.comภาพที่ 3 โดย National Cancer Institute จาก unsplash.comภาพที่ 4 โดย Abhijeet gourav จาก unsplash.comภาพที่ 5 โดย Chris LeBoutillier จาก unsplash.comภาพที่ 6 โดย Karsten Wurth จาก unsplash.comอัปเดตความรู้ใหม่ ๆ อีกมากมาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !