หัวอกครอบครัวญี่ปุ่น เมื่อสมาชิกถูกลักพาตัวไปเกาหลีเหนือ
15 พฤศจิกายน ค.ศ.1977 จังหวัดนีงาตะ ประเทศญี่ปุ่น
เวลาหลังพระอาทิตย์ตกดิน ในช่วงหัวค่ำอันเหน็บหนาวของเดือนพฤศจิกายน เมกูมิ โยโกตะ เพิ่งซ้อมแบดมินตันเสร็จ
กระแสลมหอบความหนาวมาสู่ท่าเรือประมงของเมืองที่อื้ออึงไปด้วยเสียงเกลียวคลื่นในทะเลสีเทาที่สาดซัดเข้าหาฝั่ง แสงไฟจากบ้านเรือนผู้คนอยู่ห่างออกไปโดยการเดินเพียง 7 นาที
เด็กหญิงเมกูมิ วัย 13 ปี กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านพร้อมด้วยถุงหนังสือและไม้แบดมินตัน เธอกล่าวลาเพื่อน 2 คนขณะอยู่ห่างจากประตูบ้านของตนเองเพียงสองร้อยกว่าเมตร แต่เธอกลับไปไม่ถึงบ้าน
เมื่อเวลา 6 โมงเย็นได้ล่วงเลยเข้าสู่ 1 ทุ่ม ถนนอันเงียบสงัดยังไร้วี่แววของลูกสาว ซากิเอะ โยโกตะ ผู้เป็นแม่จึงเริ่มใจไม่ดี เธอตัดสินใจวิ่งไปที่โรงพละของโรงเรียนมัธยมโยริอิ ด้วยหวังว่าจะได้เจอลูกสาวระหว่างทาง
"พวกเขาออกไปนานแล้ว" ครูประจำเวรดึกของโรงเรียนกล่าว
หลังจากนั้น ตำรวจพร้อมด้วยไฟฉายและสุนัขดมกลิ่นได้ฝ่าความมืดของค่ำคืนออกค้นหาในป่าสนใกล้เคียง พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อเมกูมิ ส่วนซากิเอะออกตามหาลูกสาวที่ถนนเลียบชายหาด และลานจอดรถทุกแห่งในละแวกนั้นด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย
- เผยชีวิตในเกาหลีเหนือของทหารอเมริกันแปรพักตร์ รอดมาได้เพราะความรัก
- ลักพาเพื่อใช้โฆษณาชวนเชื่อ เปิดชื่อศิลปินเกาหลีใต้ที่ถูกเกาหลีเหนือ "อุ้ม"
- รู้จัก ชเว อึนฮี อดีตนางเอกเกาหลีใต้ที่เคยถูกลักพาตัวไปสร้างหนังในเกาหลีเหนือ
การค้นหาตามแนวชายฝั่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ทว่าสัญชาตญาณบางอย่างที่ทรงพลังกว่าผลักดันให้ผู้เป็นแม่คนนี้ออกไปยังชายฝั่งทะเลในคืนนั้น
ที่กลางทะเลญี่ปุ่น ซึ่งไกลเกินกว่าสายตาของซากิเอะจะมองเห็นได้ มีเรือลำหนึ่งที่ขับเคลื่อนโดยสายลับเกาหลีเหนือ กำลังมุ่งหน้าสู่คาบสมุทรเกาหลี พร้อมกับเด็กนักเรียนหญิงผู้ตื่นกลัวคนหนึ่งที่ถูกควบคุมตัวไว้บนเรือ
พวกเขาออกจากญี่ปุ่นโดยไร้ร่องรอยและไม่มีพยานผู้เห็นเหตุการณ์
อาชญากรรมครั้งนี้ทั้งอุกอาจและแปลกประหลาดเกินกว่าจะจินตนาการได้ และไม่ต้องพูดถึงการคลี่คลายคดี ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมายิ่งมีความชัดเจนขึ้นว่าเมกูมิไม่ใช่เหยื่อเพียงคนเดียวของเหตุการณ์ทำนองนี้
รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า ตั้งแต่ปี 1977 จนกระทั่งปี 1983 เป็นอย่างน้อย สายลับเกาหลีเหนือได้ลักพาตัวพลเมืองญี่ปุ่นไป 17 คน ขณะที่ผลการวิเคราะห์บางชิ้นเชื่อว่าตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่า 100 คน
..................
หลังจากเมกูมิหายตัวไป ตำรวจระดมกำลังเจ้าหน้าที่ออกค้นหาเธอเป็นเวลา 3,000 วัน หน่วยงานที่รับผิดชอบคดีลักพาตัวได้ปักหลักทำงานที่บ้านของครอบครัวโยโกตะ ขณะที่กองเรือตรวจการณ์ได้ตระเวนค้นหาเธออย่างไม่หยุดหย่อน
แต่ทีมสอบสวนกลับคว้าน้ำเหลว
ชิเงรุ พ่อของเมกูมิ ออกค้นหาที่ชายหาดทุกเช้า ในตอนกลางคืนเขาจะร้องไห้ในห้องอาบน้ำ ส่วนซากิเอะจะร้องไห้เวลาอยู่ตามลำพัง พยายามไม่ให้น้องชายฝาแฝดอายุ 9 ขวบของเมกูมิได้ยินเสียงร่ำไห้อย่างทุกข์ใจของเธอ
ความมืดมนก่อตัวทับถมสมาชิกในครอบครัวโยโกตะ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดจากการหายตัวไปของเมกูมิ
แต่ตอนนั้นเมกูมิยังมีชีวิตอยู่
สายลับเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์ไปอยู่เกาหลีใต้ในปี 1993 ให้การต่อรัฐบาลเกาหลีใต้เกี่ยวกับรายละเอียดของหญิงชาวญี่ปุ่นที่ถูกลักพาตัวไปซึ่งมีลักษณะตรงกับเมกูมิ
"ผมจำเธอได้ดี" อัน เมียง-จิน บอก "ตอนนั้นผมยังหนุ่ม และเธอก็เป็นคนสวย"
เขาเล่าว่าหนึ่งในสายลับระดับสูงที่ลงมือลักพาตัวเมกูมิไป ได้เล่าเรื่องของเธอให้เขาฟังในปี 1988 ว่า การลักพาตัวครั้งนั้นเป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า
เขาเล่าว่า ขณะเกิดเหตุสายลับเกาหลีเหนือ 2 คนเพิ่งจะเสร็จสิ้นภารกิจในจังหวัดนีงาตะและกำลังรอเรือมารับบริเวณชายหาด แต่พวกเขาสังเกตเห็นว่ามีคนมองพวกเขามาจากถนน ด้วยความกลัวว่าจะถูกกระชากหน้ากากจารชน พวกเขาจึงเข้าไปจับตัวบุคคลดังกล่าว แต่ด้วยความที่เมกูมิตัวสูงเกินวัย ทำให้ในความมืดตอนนั้นพวกเขาไม่ทราบว่าเธอเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
เมกูมิเดินทางถึงเกาหลีเหนือ หลังจากถูกจับขังไว้ในห้องเก็บของบนเรือที่มืดสนิทอยู่นาน 40 ชั่วโมง นายอันเล่าว่า เธอมีสภาพเล็บมือฉีกขาดและเต็มไปด้วยเลือดจากความพยายามหลบหนี ในเวลาต่อมา สายลับทั้งสองได้ถูกลงโทษที่ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด เพราะเธอยังเด็กเกินไป แล้วพวกเขาจะใช้งานอะไรได้จากเด็กหญิงวัยเพียงเท่านี้
ตอนนั้นเมกูมิเอาแต่ร้องไห้หาแม่และไม่ยอมกินอาหาร จนทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลรู้สึกประสาทเสีย พวกเขาจึงหลอกเธอว่าถ้าเธอตั้งใจทำงานและเรียนภาษาเกาหลีจนเก่ง เธอก็จะได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน
แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดหลอกเด็ก เพราะพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นจริง ๆ และมีแผนจะบังคับให้เมกูมิทำงานเป็นครูสอนพฤติกรรมและภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียนสอนการจารกรรมของเกาหลีเหนือ
................
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเมกูมิอาจฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่การลักพาตัวที่ผิดพลาดเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในเกาหลีเหนือ
นายคิม จอง-อิล ว่าที่ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของประเทศ ต้องการขยายโครงการสายลับเกาหลีเหนือ จึงทำให้มีการลักพาตัวชาวต่างชาติมาใช้งาน
คนเหล่านี้ไม่ได้แค่ถูกบังคับใช้เป็นครูเท่านั้น แต่ยังอาจบังคับใช้งานเป็นสายลับได้ด้วย หรือไม่รัฐบาลเกาหลีเหนือก็อาจขโมยข้อมูลส่วนบุคคลมาใช้ทำหนังสือเดินทางปลอม นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถแต่งงานกับชาวต่างชาติ (ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับชาวเกาหลีเหนือ) และลูกหลานของพวกเขาก็สามารถรับใช้ทางการเกาหลีเหนือได้ด้วย
................
"ผู้คนมักคิดว่าผมจำพี่สาวไม่ได้มากนัก...แต่ที่จริงผมจำเธอได้อย่างชัดเจน แม้ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ป.3 - ป.4 ก็ตาม" ทาคูยะ โยโกตะ น้องชายของเมกูมิบอกกับทีมข่าวบีบีซี
ทาคูยะซึ่งปัจจุบันอายุ 52 ปี เล่าถึงพี่สาวว่า "เธอเป็นคนช่างคุย กระตือรือร้น และฉลาด...เธอเป็นเหมือนดอกทานตะวันของครอบครัว"
"การไม่มีเธอที่โต๊ะทานอาหารค่ำทำให้บทสนทนาเป็นไปอย่างจำกัด และทำให้บรรยากาศมืดมน"
ในช่วงสองทศวรรษแรกที่เมกูมิหายตัวไป ครอบครัวไม่เหลืออะไรนอกจากคดีที่ยังไม่คลี่คลาย กับความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่รู้เลยว่าเธอยังมีชีวิตรอดในค่ำคืนที่หายตัวไปหรือไม่
.........................
..............
ช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 มีข่าวลือแพร่สะพัดตามเมืองชายฝั่งของญี่ปุ่นเรื่องที่ชาวบ้านพบเห็นแสงไฟ หรือสัญญาณวิทยุแปลก ๆ จากเรือปริศนา หรือการพบซองบุหรี่เกาหลีถูกทิ้งอยู่ตามแนวชายฝั่ง
วันที่ 7 มกราคม 1980 หนังสือพิมพ์ซันเค (Sankei Shimbun) ตีข่าวหน้าหนึ่งว่า "คู่รัก 3 คู่หายตัวปริศนาขณะออกเดทตามชายฝั่งทะเลจังหวัดฟุคุอิ, นีงาตะ และคาโกชิมะ - มีหน่วยข่าวกรองต่างชาติเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ?"
ในที่สุดอดีตผู้ก่อการร้ายที่ถูกตัดสินให้มีความผิดก็ออกมายืนยันว่าเหตุการณ์ทำนองนี้มีความเกี่ยวข้องกันเกาหลีเหนือ
คิม ฮยอน-ฮุย อดีตสายลับเกาหลีเหนือคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไป 115 คน ด้วยการให้ความช่วยเหลือลักลอบนำระเบิดขึ้นเครื่องบินโดยสารของเกาหลีใต้เมื่อปี 1987
ในระหว่างที่ถูกคุมขังเพื่อรอรับโทษประหารชีวิตในกรุงโซล เธอให้การว่าตนเองเป็นสายลับเกาหลีเหนือที่ปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของทางการ และได้ศึกษาพฤติกรรมและภาษาญี่ปุ่นเพื่อปฏิบัติการลับ โดยครูของเธอเป็นหญิงชาวญี่ปุ่นที่ถูกลักพาตัวไปเกาหลีเหนือ และเธออาศัยอยู่กับครูผู้นี้เกือบสองปี
...................
แม้คำให้การดังกล่าวจะฟังดูมีน้ำหนัก แต่รัฐบาลญี่ปุ่นกลับไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเกาหลีเหนือลักพาตัวพลเมืองของตนไป เพราะปมขัดแย้งในประวัติศาสตร์ของทั้งสองชาติทำให้ง่ายกว่าที่จะเพิกเฉยต่อหลักฐานเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม คณะเจรจาของญี่ปุ่นพยายามหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นพูดคุยในเชิงลับ แต่ฝ่ายเกาหลีเหนือกลับปฏิเสธเรื่องการลักพาตัวอย่างแข็งกร้าวพร้อมกับยุติการเจรจา
ทว่าในปี 1997 หรือ 20 ปี หลังจากเมกูมิหายตัวไป ในที่สุดรัฐบาลเกาหลีเหนือก็ยอมเปิดการสอบสวนเรื่องนี้
21 มกราคม 1997
"เรามีข้อมูลว่าลูกสาวของคุณยังมีชีวิตอยู่ในเกาหลีเหนือ"
ชิเงรุ พ่อของเมกูมิอยู่ในอาการตกตะลึง จู่ ๆ เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นเลขานุการส่วนตัวของ ส.ส. คนหนึ่งก็ติดต่อไปยังครอบครัวโยโกตะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ส.ส. ผู้นี้ได้ตรวจสอบเรื่องการลักพาตัวของรัฐบาลเกาหลีเหนือมานานนับสิบปีและอยากพบพวกเขาโดยเร็วที่สุด
นอกจากตกตะลึง ก็ยังมีความโกรธที่แล่นกลับเข้าสู่หัวใจของคนในครอบครัวโยโกตะ รัฐบาลญี่ปุ่นเชื่อว่าเมกูมิยังมีชีวิตอยู่ แล้วคำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือ พวกเขาจะพาเธอกลับมาอย่างไร
ครอบครัวโยโกตะตัดสินใจเปิดเผยเรื่องที่ลูกสาวถูกลักพาตัวต่อสังคม ทางการญี่ปุ่นเกรงว่าเกาหลีเหนือจะฆ่าปิดปากเมกูมิเพื่อปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้น แต่พ่อของเมกูมิแย้งว่าคดีนี้จะถูกมองเป็นเพียงข่าวลือ หากไม่มีการเปิดเผยชื่อของผู้ตกเป็นเหยื่ออย่างเมกูมิ พวกเขาต้องเผยแพร่ข่าวนี้ออกไปทั่วญี่ปุ่นเพื่อขอความช่วยเหลือจากสังคม
ครอบครัวโยโกตะไปออกรายการโทรทัศน์ช่วงไพรม์ไทม์ที่มีผู้ชมมากที่สุด มีการตั้งกระทู้เรื่องนี้ในรัฐสภา ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน รัฐบาลยืนยันต่อสาธารณชนว่าเมกูมิไม่ใช่กรณีเดียวที่เกิดขึ้น
ครอบครัวของเหยื่อที่ถูกลักพาตัว 7 รายได้ตั้งกลุ่ม "สมาคมครอบครัวของเหยื่อที่ถูกเกาหลีเหนือลักพาตัวไป" (Association of Families of Victims Kidnapped by North Korea) เพื่อร่วมกันเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขา
สมาชิกกลุ่มต่างแบ่งปันข้อมูลที่พวกเขามีอยู่เพียงน้อยนิด และดูเหมือนว่าการลักพาตัวมักเกิดขึ้นเมื่อสบโอกาส ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า เหยื่อส่วนใหญ่มักเป็นคู่รักในวัยยี่สิบปีเศษที่ออกเดทกันตามชายหาดต่าง ๆ ทั่วญี่ปุ่น
หนึ่งในนั้นคือ รูมิโกะ มัตสึโมโต เสมียนวัย 24 ปี ที่หายตัวไปเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 1978 ขณะออกเดทกับแฟนหนุ่มที่ชายหาดจังหวัดคาโกชิมะ หรือประมาณ 9 เดือนหลังจากเมกูมิหายตัวไป
แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นหายนะอันน่าเศร้าของครอบครัวเหยื่อ แต่คนบางกลุ่มและสื่อมวลชนบางส่วนกลับไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจเท่าใดนัก และมักระบุถึงกรณีเหล่านี้ในข่าวว่าเป็น "คำกล่าวอ้าง" ขณะที่นักการเมืองญี่ปุ่นบางคนเชื่อว่าคำกล่าวอ้างทำนองนี้เป็นข่าวปลอมที่เกาหลีใต้เผยแพร่เพื่อสร้างความเสื่อมเสียให้เกาหลีเหนือ
แต่ครอบครัวของเหยื่อมุ่งมั่นที่จะสู้ต่อไป ทั้งการยื่นคำร้อง ไปออกสื่อต่าง ๆ และวิ่งเต้นผลักดันเรื่องกับรัฐบาล ในที่สุดความจริงก็พอกพูนขึ้นราวกับก้อนหิมะกลิ้งที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
5 ปีต่อมา ก้อนหิมะนี้ได้ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของนายคิม จอง-อิล อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองเกาหลีเหนือ และขณะนั้นได้ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศแล้ว
..........................
17 กันยายน 2002
นายจุนอิชิโร โคอิซุมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้นเดินทางไปยังกรุงเปียงยางเพื่อหารือถึงการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของสองประเทศให้กลับสู่ระดับปกติ ด้วยความหวังว่าจะช่วยเพิ่มคะแนนนิยมที่กำลังตกต่ำของเขา โดยที่ไม่คาดคิดว่าตนกำลังเดินเข้าสู่สถานการณ์ที่น่าอึดอัดทางการทูต
ด้านนายคิม จอง-อิล ก็มีความหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารและการลงทุนจากญี่ปุ่น หลังจากต้องเผชิญภาวะอดอยากครั้งใหญ่ช่วงทศวรรษที่ 1990 ซึ่งเชื่อกันว่าได้คร่าชีวิตคนเกาหลีเหนือไปกว่า 2 ล้านคน รวมทั้งยังต้องการคำขอโทษอย่างเป็นทางการจากญี่ปุ่นที่ยึดครองเกาหลีนาน 35 ปี
ส่วนญี่ปุ่นต้องการรายละเอียดของพลเมืองญี่ปุ่นทุกคนที่ถูกสายลับเกาหลีเหนือลักพาตัวไป โดยยืนกรานจะไม่มีการหารือต่อหากอีกฝ่ายไม่ทำตามข้อเรียกร้องนี้
ฝ่ายเกาหลีเหนือยอมให้รายชื่อคนญี่ปุ่นที่ถูกลักพาตัวไป โดยยอมรับว่าได้ลักพาตัวพลเมืองญี่ปุ่นไป 13 คน แต่มีเหลือรอดชีวิตอยู่เพียง 5 คนเท่านั้น
เกาหลีเหนือระบุสาเหตุการเสียชีวิตของเหยื่อ 8 คน คือ จมน้ำ สำลักควันพิษจากเครื่องทำความร้อนถ่านหิน หัวใจวาย และอุบัติเหตุทางรถยนต์ รัฐบาลเกาหลีเหนืออ้างว่าไม่สามารถส่งคืนร่างของเหยื่อเหล่านี้ได้เพราะน้ำท่วมได้ชะล้างหลุมศพของเหยื่อไปเกือบหมดทุกคน
นายโคอิซุมิตกตะลึงกับข้อมูลที่ได้รับทราบ พร้อมกล่าวต่อผู้นำเกาหลีเหนือว่า "ในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนญี่ปุ่น ผมต้องขอประท้วงอย่างรุนแรง ผมไม่อาจจะจินตนาการได้ว่าครอบครัวของเหยื่อจะรับกับข่าวนี้ได้อย่างไร"
ในระหว่างที่สองฝ่ายพักการประชุมที่อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้น นายชินโซ อาเบะ ซึ่งขณะนั้นเป็นรองโฆษกรัฐบาล ก่อนที่ต่อมาจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น ได้แนะนำนายโคอิซุมิไม่ให้ลงนามในปฏิญญาประกาศเจตจำนงที่จะเปิดเจรจาฟื้นฟูความสัมพันธ์สู่ระดับปกติกับเกาหลีเหนือ หากรัฐบาลเกาหลีเหนือไม่แสดงการขอโทษอย่างเป็นทางการต่อการลักพาตัวที่เกิดขึ้น
นายคิม จอง-อิล ยอมรับว่าการลักพาตัวทำโดยหน่วยปฏิบัติการพิเศษของเกาหลีเหนือในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 ซึ่งก่อเหตุด้วยความรักชาติที่มืดบอดและการถูกชักจูงให้แสดงความกล้าหาญในทางที่ผิด
เขาบอกว่าทันทีที่ได้รับทราบถึงการก่อเหตุเช่นนี้ ก็ได้มีการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้คำมั่นว่ากรณีเช่นนี้จะไม่เกิดซ้ำอีก เขาเปิดเผยว่าการลักพาตัวมีเป้าหมายในการหาครูชาวญี่ปุ่นมาสอนภาษาให้สายลับเกาหลีเหนือ และปลอมข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อเข้าไปปฏิบัติภารกิจในเกาหลีใต้ โดยเหยื่อบางคนถูกฉกตัวมาจากชายหาดอย่างที่เป็นข่าว ขณะที่คนอื่นอาจถูกล่อลวงในระหว่างไปศึกษาหรือท่องเที่ยวในยุโรป
ผู้นำเกาหลีเหนือยังพูดถึงกรณีของเมกูมิ ซึ่งเป็นเหยื่อลักพาตัวอายุน้อยที่สุดว่า ผู้ที่ลักพาตัวเธอได้ถูกตัดสินให้มีความผิดในปี 1998 หนึ่งในนั้นถูกประหารชีวิต ส่วนอีกคนเสียชีวิตระหว่างรับโทษจำคุก 15 ปี
"ผมอยากใช้โอกาสนี้กล่าวคำขอโทษอย่างตรงไปตรงมาสำหรับการกระทำที่น่าเศร้าใจของคนเหล่านั้น ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก" นายคิม จอง-อิล กล่าว
จากนั้น นายโคอิซุมิก็ลงนามในปฏิญญาเปียงยาง
เหยื่อการลักพาตัว 5 คนยังมีชีวิตอยู่ ส่วนอีก 8 คนถูกประกาศว่าเสียชีวิตแล้ว
ส่วนอีกด้าน ที่อาคารรับรองของกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นในกรุงโตเกียว ครอบครัวของผู้ถูกลักพาตัวต่างรอฟังข่าวด้วยจิตใจอันร้อนรน
พ่อแม่ของเมกูมินั่งอยู่กับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายชิเกโอะ อูเอทาเกะ ที่สูดหายใจเข้าแล้วพูดว่า
"ผมเสียใจที่ต้องแจ้งพวกคุณ..."
....................
เกาหลีเหนือบอกว่า เมกูมิ โยโกตะ ปลิดชีพตัวเองเมื่อวันที่ 13 เมษายน 1994 ด้วยการผูกคอตายที่ป่าสนในบริเวณโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งในกรุงเปียงยาง ซึ่งเธอเข้ารักษาโรคซึมเศร้า
ก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือได้แจ้งว่าเธอเสียชีวิตในวันที่ 13 มีนาคม 1993 แต่ระบุในเวลาต่อมาว่าเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด
หลักฐานที่เกาหลีเหนือแสดงคือเอกสารการเข้ารับการรักษาของเมกูมิที่มีร่องรอยการแก้ไขหลายจุด โดยมีการขีดฆ่าข้อมูลการเข้า-ออกโรงพยาบาลหลายครั้ง แล้วเขียนคำว่า "ตาย" ลงไปแทน ซึ่งทางการญี่ปุ่นบอกกับเกาหลีเหนือว่าเอกสารดังกล่าวมีความน่าสงสัยมาก
ฟูกิเอะ ชิมูระ เหยื่อชาวญี่ปุ่นอีกคนได้ระบุในเวลาต่อมาว่า เมกูมิได้ย้ายเข้าไปอยู่ในที่พักที่ติดกับเธอและสามีในเกาหลีเหนือเมื่อเดือนมิถุนายน 1994 หรือ 2 เดือนหลังจากวันที่เมกูมิเสียชีวิตตามคำกล่าวอ้างของเกาหลีเหนือ และเธอก็พักอยู่ที่นั่นนานหลายเดือน
ครอบครัวโยโกตะไม่ปักใจเชื่อว่าเมกูมิฆ่าตัวตาย
สองปีหลังประกาศว่าเมกูมิเสียชีวิตแล้ว รัฐบาลเกาหลีเหนือได้ส่งมอบสิ่งที่อ้างว่าเป็นอัฐิของเธอ ซึ่งตรงกับวาระครบรอบ 27 ปีที่เธอถูกลักพาตัวไป พ่อแม่ของเมกูมิยังเก็บสายสะดือของลูกสาวเอาไว้ แล้วนำไปใช้ในการตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ส่งมาเป็นเถ้ากระดูกของเมกูมิจริงหรือไม่
ผลปรากฏว่าตัวอย่างทั้งสองมีข้อมูลทางพันธุกรรมไม่ตรงกัน
นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการตรวจระบุว่าเถ้ากระดูกอาจมีการปนเปื้อนจึงทำให้ได้ผลตรวจที่ไม่แน่ชัด หรือคลาดเคลื่อน แต่ที่ผ่านมาเคยพบกรณีที่เกาหลีเหนือส่งคืนชิ้นส่วนที่ไม่ตรงกับของเหยื่อผู้เสียชีวิตมาแล้ว เช่น การส่งกระดูกและชิ้นส่วนขากรรไกรล่างของนายคาโอรุ มัตซึกิ ที่ถูกลักพาตัวไปและเสียชีวิตขณะอายุ 42 ปี ซึ่งการตรวจของผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมพบว่ามันเป็นชิ้นส่วนของผู้หญิงในวัย 60 ปีเศษ
...................
วันที่ 15 ตุลาคม 2002 ผู้ถูกลักพาตัวที่เกาหลีเหนือระบุว่าเหลือรอดชีวิตอยู่ 5 คน ได้เดินทางกลับถึงท่าอากาศยานฮาเนดะในกรุงโตเกียว
พวกเขาเดินลงจากเครื่องบินไปท่ามกลางธงชาติญี่ปุ่น และแผ่นป้าย "ต้อนรับกลับบ้าน" ที่ทำขึ้นเอง ก่อนที่จะโผเข้าสู่อ้อมกอดครอบครัวที่ร้องสะอึกสะอื้นด้วยความดีใจ
รัฐบาลเกาหลีเหนือยอมให้คนกลุ่มนี้กลับไปเยี่ยมญาติที่ญี่ปุ่นได้ 7-10 วัน
แต่พวกเขาไม่เคยกลับไปเหยียบเกาหลีเหนืออีกเลย
.....................
ยิ่งวันเวลาผ่านไป ความต้องการค้นหาความจริง โดยเฉพาะของครอบครัวเหยื่อที่เกาหลีเหนืออ้างว่าเสียชีวิตไปแล้วยิ่งแรงกล้าขึ้น เพราะผู้ที่เฝ้ารอจะได้พบเจอกับบุคคลอันเป็นที่รักที่หายตัวไปนั้นต่างค่อย ๆ ล้มหายตายจากกันไปทีละคน
ปัจจุบันมีพ่อแม่ของของเหยื่อที่ถูกลักพาตัวมีชีวิตอยู่เพียง 2 คน หนึ่งในนั้นคือซากิเอะ ซึ่งอายุน้อยที่สุดในบรรดาพ่อแม่เหยื่อ โดยเธอจะมีอายุครบ 85 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021
ส่วน ชิเงรุ พ่อของเมกูมิ ชายพูดน้อยแต่หนักแน่น เพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2020 เขาล้มป่วยและเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อเดือนเมษายนปี 2018 และในทุก ๆ วันจะพยายามต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อได้นานขึ้น โดยมีรูปถ่ายของลูกสาวผู้เป็นที่รักวางอยู่ข้างเตียง
โคอิจิโร อีซึกะ เป็นอีกคนที่ไม่เคยสิ้นหวังในการค้นหาความจริงของแม่ที่หายตัวไป โดยตอนที่ ยาเอโกะ ทากูชิ แม่เลี่ยงเดี่ยวที่ทำงานเป็นพนักงานต้อนรับในไนต์คลับวัย 22 ปี หายตัวไปอย่างปริศนาในเดือนมิถุนายนปี 1978 ลูกชายวัยแบเบาะและลูกสาววัย 3 ขวบของเธอจึงถูกทิ้งไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กในกรุงโตเกียว
ในเวลาต่อมา ลุงของโคอิจิโรรับเขาไปเลี้ยงเป็นลูกคนที่ 4 ส่วนพี่สาวถูกป้าอีกคนรับอุปการะ ปัจจุบันโคอิจิอายุ 43 ปี แม้เขาจะไม่มีความทรงจำใด ๆ เกี่ยวกับแม่ แต่ก็ไม่เคยหยุดต่อสู้เพื่อเธอโดยได้รับการสนับสนุนจากลุงของเขา
ลุงของโคอิจิโรเล่าให้เขาฟังว่า คิม ฮยอน-ฮุย มือระเบิดชาวเกาหลีเหนือที่ถูกตัดสินประหารชีวิต ให้การว่ามีครูเป็นหญิงชาวญี่ปุ่น พร้อมกับหยิบรูปถ่ายของยาเอโกะแล้วพูดว่า "นี่คือครูของฉัน" นั่นจึงทำให้ได้ทราบอย่างแน่ชัดว่าเธอคือหนึ่งในผู้ที่ถูกเกาหลีเหนือลักพาตัวไป
ในปี 2004 เขาตัดสินใจเปิดเผยว่าเขาเป็นลูกชายของ ยาเอโกะ ทากูชิ เพื่อผลักดันภาครัฐให้ช่วยสืบหาความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของแม่ที่เขาไม่เคยได้รู้จัก
"พ่อของผม (ลุง) ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศว่าไม่มีหลักฐานที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างของเกาหลีเหนือที่บอกว่าแม่ตายแล้ว และพ่อของผมก็ไม่เชื่อคำของเกาหลีเหนือ"
"พวกเรา และผมจึงคิดจะหาทางช่วยแม่"
ความพยายามดังกล่าวทำให้ในปี 2009 โคอิจิโร และลุงของเขาเดินทางไปยังเมืองปูซานของเกาหลีใต้เพื่อพบกับ คิม ฮยอน-ฮุย ที่ได้รับอภัยโทษจากประธานาธิบดีเกาหลีใต้
เกาหลีเหนือระบุว่า ยาเอโกะ ทากูชิ เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1986 แต่คิม ฮยอน-ฮุย แย้งว่าเธอได้พูดคุยกับคนขับรถรายหนึ่งที่แจ้งว่าพบเห็นยาเอโกะยังมีชีวิตอยู่ในปีถัดมา ซึ่งหากเธอยังไม่เสียชีวิตตามที่เกาหลีเหนืออ้าง ตอนนี้เธอก็จะมีอายุ 65 ปี
แต่ครอบครัวของยาเอโกะเกรงว่าหลังจากเป็นครูสอนคิม ฮยอน-ฮุย และใช้ชีวิตคลุกคลีกับบรรดาสายลับ เธอก็อาจจะได้ล่วงรู้ข้อมูลมากเกินกว่าที่เกาหลีเหนือจะยอมปล่อยตัวเธอ
.................................
..................
แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 40 ปีแล้ว แต่ครอบครัวของผู้ถูกลักพาตัว 8 คนที่เกาหลีเหนืออ้างว่าเสียชีวิตไปแล้วนั้น กลับไม่เคยหยุดต่อสู้เพื่อให้ได้ทราบชะตากรรมของพวกเขา
เทรุอากิ มัตสึโมโต น้องชายของ รูมิโกะ มัตสึโมโต ที่หายตัวไปเมื่อปี 1978 ขณะออกเดทกับแฟนหนุ่มที่ชายหาดจังหวัดคาโกชิมะ บอกว่าสำหรับเขาแล้วการตายของบุคคลอันเป็นที่รักไม่อาจะทำให้เขายอมแพ้ได้
"หากมีการพิสูจน์ว่าพวกเขาเสียชีวิตไปแล้วจริง เราก็ยังต้องการให้ส่งกระดูกของพวกเขาคืนมา นี่คือความคิดแบบคนญี่ปุ่น เราจะเดินหน้าผลักดันให้รัฐบาลญี่ปุ่นรับผิดชอบที่ไม่สามารถช่วยผู้ถูกลักพาตัวได้..."
เทรุอากิเชื่อว่าตัวเลขจริงของคนญี่ปุ่นที่ถูกเกาหลีเหนือลักพาตัวไปอาจมีมากกว่า 100 คน และหากเป็นเช่นนั้นก็จะต้องเร่งสืบหาข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา
ในปี 2014 รัฐบาลเกาหลีเหนือตกลงเปิดการสอบสวนถึงชะตากรรมของผู้ถูกลักพาตัว 8 คนที่อ้างว่าเสียชีวิตไปแล้วแต่ไม่มีการส่งคืนชิ้นส่วนของพวกเขากลับญี่ปุ่น แต่การสอบได้ถูกยกเลิกไปในปี 2016 หลังจากสองประเทศขัดแย้งกันเรื่องการคว่ำบาตรการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
........................
เมื่อปี 2020 แม่ของเมกูมิ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงลูกสาวซึ่งถูกนำไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ JAPAN forward ก่อนที่สามีของเธอจะเสียชีวิตโดยมีใจความตอนหนึ่งว่า
"ถึงเมกูมิที่รัก"
"แม่รู้ว่ามันอาจจะแปลกหน่อยที่แม่มักพูดคุยกับลูกอยู่เสมอ ลูกสบายดีไหม?"
"...แม่พยายามอย่างดีที่สุดที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แต่แม่รู้สึกว่าร่างกายแม่กำลังอ่อนแอลง และมันก็ยากขึ้นทุกวัน ตอนที่แม่เห็นพ่ออยู่ที่โรงพยาบาลและตั้งใจทำกายภาพบำบัด แม่มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่จะหาทางให้พ่อให้เจอหน้าลูกอีกครั้ง"
"นี่คือความจริงของวัยที่ร่วงโรย ไม่ใช่แค่พ่อกับแม่...แต่รวมถึงครอบครัวของเหยื่อในเกาหลีเหนือทั้งหมดที่ยังคงเฝ้ารอบุคคลอันเป็นที่รักกลับคืนสู่แผ่นดินเกิดและได้สวมกอดพวกเขาเอาไว้ในอ้อมแขน"
"เรามีเวลาเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว เราต่อสู้มายาวนานและหนักหน่วงด้วยหัวใจและพลังความคิด แต่เราไม่สามารถทำเช่นนี้ต่อไปได้นานนัก"
"มันคงต้องใช้ความพยายามมากขึ้นกว่าที่ผ่านเพื่อนำเหยื่อทุกคนกลับญี่ปุ่น แน่นอนว่าญี่ปุ่นจะต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่เรายังต้องการความกล้าหาญ ความรัก และความยุติธรรมจากคนทั่วโลก (ผู้ที่ได้อ่านจดหมายของดิฉัน โปรดใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อรำลึกเอาไว้ในจิตใจถึงผู้ถูกลักพาตัวที่ยังติดอยู่ในเกาหลีเหนือ ได้โปรดช่วยเป็นปากเสียงให้พวกเขา)"
"เมกูมิที่รัก แม่จะสู้ต่อไปเพื่อพาลูกกลับบ้าน มาหาแม่ หาพ่อ และน้องชายของลูก ทาคูยะ และทัตสึยะ ความตั้งใจของแม่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้ตอนอายุ 84 ปี ดังนั้นจงขอให้ลูกดูแลตัวเองและอย่าสิ้นหวัง"
การสัมภาษณ์บุคคลแบบตัวต่อตัวทั้งหมดทำขึ้นก่อนหน้าการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19