10 บริษัทเทค-การเงินกระทบหนักวีซ่า H-1B

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ลงนามคำสั่งเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าแรงงานทักษะสูงที่เรียกว่า H-1B สูงถึง 100,000 ดอลลาร์ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายนตามเวลาสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบต่อโครงการดึงดูดแรงงานหัวกะทิเข้าไปในสหรัฐฯ

ค่าธรรมเนียมวีซ่าดังกล่าวจะบังคับใช้กับผู้สมัครวีซ่า H-1B รายใหม่ ไม่ใช่ผู้ที่ต่ออายุวีซ่าหรือผู้ถือวีซ่าอยู่แล้วในปัจจุบัน และเป็นการเก็บค่าธรรมเนียมเพียงครั้งเดียว ไม่ใช่รายปี 

ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีแนวโน้มส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งต้องพึ่งพาแรงงานทักษะสูง โดยเฉพาะจากอินเดียและจีน

CNBC อ้างข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า ในช่วง 3 ไตรมาสของปีงบการเงิน 2568 ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน โดยเครือ “แอมะซอน” มีจำนวนพนักงานที่ได้รับวีซ่าประเภทนี้ราว 14,365 คน ตามด้วย “ทาทา คอนซัลแทนซี เซอร์วิสเซส” 5,505 คน อันดับ 3 ได้แก่ “ไมโครซอฟท์” 5,189 คน อันดับ 4 ได้แก่ “เมตา แพลตฟอร์มส์” 5,123 คน และอันดับ 5 “แอปเปิล” 4,202 คน

สำหรับอันดับ 6-10 ได้แก่ “กูเกิล” 4,181 คน, “ค็อกนิแซนท์ เทคโนโลยี โซลูชั่นส์” 2,493 คน, “เจพี มอร์แกน เชส” 2,440 คน, “วอลมาร์ต” 2,390 คน และ “ดีลอยต์” 2,353 คน  

หลายบริษัทออกคำเตือนถึงพนักงานที่ถือวีซ่าประเภทนี้ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกสหรัฐฯ ส่วนผู้ที่อยู่ต่างประเทศให้เดินทางกลับก่อนคำสั่งมีผลบังคับใช้ 

การเก็บค่าธรรมเนียมในระดับที่สูงนี้ถือเป็นมาตรการเข้มงวดที่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการจำกัดการเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมาย นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ซึ่งเขาได้สกัดการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและถูกกฎหมายผ่านหลายมาตรการ แต่คำสั่งล่าสุดถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญในการควบคุมวีซ่าทำงาน