ผลวิจัยชี้ปริมาณไวรัสโควิด-19 ในน้ำลาย บ่งบอกอาการของผู้ป่วย
วันนี้ (17ม.ค.64) เพจ เฟซบุ๊คBIOTEC (ไบโอเทค) เผยข้อมูล จากนักวิจัยมหาวิทยาลัย Yale University จากสหรัฐอเมริกา ได้เก็บตัวอย่างน้ำลาย และ ตัวอย่างจากโพรงจมูกของผู้ป่วยโควิด-19 ไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อหาความสัมพันธ์ของปริมาณไวรัสในน้ำลาย และ โพรงจมูกกับความรุนแรงของโควิด-19 ในผู้ป่วยนั้นๆ สิ่งที่พบคือ ผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาล (เทียบกับกลุ่มไม่ต้อง admit) ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง (เทียบกับกลุ่มอาการปานกลาง) และ ผู้ป่วยที่เสียชีวิต (เทียบกับกลุ่มรอด)
ทั้งสามกลุ่มล้วนมีปริมาณไวรัสในน้ำลายสูงกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่เทียบกันทั้งสิ้น ขณะที่ค่าไวรัสในโพรงจมูกออกมาไม่แตกต่างชัดเจน นอกจากนี้ถ้าดูในกลุ่มที่เสียชีวิตจะเห็นได้ชัดว่าปริมาณไวรัสในน้ำลายมีอยู่สูงตลอดเวลา แทบจะไม่ลดลงเลย
การศึกษาต่อในเชิงลึกพบว่าปริมาณไวรัสในน้ำลายเป็นต้นเหตุของการเข้าทำลายเซลล์ปอดโดยระบบภูมิคุ้มกัน และ ข้อมูลอีกหนึ่งชิ้นที่น่าสนใจคือ กลุ่มที่มีไวรัสในน้ำลายเยอะๆจะสร้างแอนติบอดีมาต่อต้านไวรัสได้ช้ากว่ากลุ่มที่มีไวรัสน้อยอย่างมีนัยสำคัญ
ทีมวิจัยได้ให้เหตุผลไว้ว่า สาเหตุที่ปริมาณไวรัสในน้ำลายเป็นตัวบ่งชี้ความรุนแรงของโรคได้เป็นเพราะว่า ไวรัสจากน้ำลายมีต้นกำเนิดมาจากหลายแหล่งทั้งจากทางเดินหายใจส่วนบน และ ส่วนล่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสที่ถูกขับออกมาจากปอดผ่านกระบวนการ เรียกว่า Mucociliary clearance (Moving carpet lift) ในขณะที่ไวรัสที่วัดจากโพรงจมูกจะจำกัดที่ทางเดินหายใจส่วนบนเท่านั้น ทำให้เราจะไม่สามารถวัดไวรัสที่อยู่ในทางเดินหายใจส่วนล่างได้ดีเท่ากับในน้ำลาย
สรุปจากงานวิจัยนี้คือ ไวรัสจากโพรงจมูกจะสามารถตรวจสอบการติดเชื้อในผู้ป่วยได้ดี แต่ ถ้าจะดูว่าผู้ป่วยคนนั้นจะป่วยหนักมากน้อยแค่ไหนข้อมูลไวรัสในน้ำลายน่าจะมีประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรคโควิด-19 ได้
เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNTHAILAND.com
facebook : TNNONLINE
facebook live : TNN Live
twitter : TNNONLINE
Line : @TNNONLINE
Youtube Official : TNNONLINE
Instagram : TNN_ONLINE
TIKTOK : @TNNONLINE