สรุป iPhone 13 และ iPhone 13 Pro จากงาน #AppleEvent มีอะไรใหม่!? ก็ได้จบลงไปแล้วนะคะ กับงาน Apple Event California Streaming ทาง YouTube ในคืนวันพุธที่ 15 กันยา ในเวลาเที่ยงคืนตามเวลาท้องถิ่นของไทยนะคะ ในรอบนี้ Apple ได้ออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่มาด้วยกัน 4 ผลิตภัณฑ์ นั่นก็คือ iPad 9, iPad mini 6, Apple watch series 7 และ iPhone 13 เราจะมาขอสรุปถึง iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ค่ะ มาเริ่มกันที่ iPhone 13 นะคะ ยังคงคอนเสปเดิมค่ะ มีให้เลือกกันที่ 2 ขนาด ได้แก่ iPhone 13 mini และ iPhone 13 ธรรมดา ขนาดหน้าจออยู่ 5.4 และ 6.1 นิ้วค่ะ ขนาดเดียวกับ iPhone 12 เลย ส่วนหน้าจอเป็นหน้าจอ Super Retina XDR จอกระจกยังเป็นแบบ Ceramic Shield ที่ป้องกันการเกิดรอยจากการกระแทกต่าง ๆ และการกันน้ำยังใช้ IP68 เหมือนเดิมค่ะ รอยปากบนหน้าจอเล็กลงจากเดิมแค่ 20% มีการปรับดีไซน์แผงวงจรด้านในเล็กน้อย ทำให้เพิ่มปริมาณความจุแบตเตอรี่และใช้งานได้ยาวนานกว่าไอโฟน 12 ถึง 2.1 ชั่วโมง และยังปรับความสว่างจากเดิมมากถึง 28 % เพื่อการใช้งานในที่กลางแจ้ง ตัวกล้องหลังได้มีการเปลี่ยนจาก iPhone 12 ให้เป็นแนวทแยง เลนส์แรกจะเป็นเลนส์ Wide ความละเอียดจะอยู่ที่ 12 MP เท่าเดิมจากไอโฟน 12 แต่รับแสงได้ดีขึ้น ชิปประมวลผลรอบนี้เป็น cpu A15 Bionic ตัวชิป cpu มีทั้งหมด 6 core ชิบตัวนี้มันดียังไง ในเรื่องการประมวลผลดีขึ้นถึง 50% และกราฟิกดีขึ้นถึง 30% iPhone 13 และ iPhone 13 mini คราวนี้ออกสีใหม่ถึง 5 สี ได้แก่ สีชมพู สีฟ้า สีมิดไนท์ สีสตาร์ไลท์ และ สีโปรดักส์เรด ราคาและหน่วยความจุ จะอยู่ตามรูปด้านล่างนี้เลยค่ะ ในส่วนของ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max หน้าจอมีขนาดอยู่ที่ 6.1 และ 6.7 นิ้วดีไซน์ยังคงมีความคล้ายจาก iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ส่วนหน้าจอเป็นหน้าจอแบบ Super Retina XDR ที่สำคัญมันเพิ่มเติมจากของเก่าคือ หน้าจอ ProMotion ซึ่งความถี่อยู่ที่ 120Hz มันจะขึ้นอยู่กับการทำงานของผู้ใช้เป็นส่วนใหญ่ ที่ตัวหน้าจอ จะให้มันปรับกับเฟรมเรทให้มันเหมาะสมกับการใช้งานเนื้อหาต่าง ๆ ถ้าหากเราเล่นเกมส์หรือดูวิดีโอที่ความละเอียดสูง มันก็จะปรับความถี่ให้สูงขึ้นและยังเพิ่มการประหยัดพลังงานได้ดีขึ้นด้วย ชิปประมวลผล A15 Bionic cpu 6 core เร็วและแรงกว่า iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max กล้อง Ultra Wide มีการปรับปรุงให้รูรับแสดงใหญ่ขึ้น เพื่อรับแสงได้มากถึง 92% ส่วน Wide ความละเอียด 12 MP และ Telephoto สามารถรองรับการซูมได้มากถึง 3 เท่า ทั้งสามกล้องนี้เมื่อทำงานกับชิป A15 จะรับแสงได้ดีขึ้น แม้แต่ที่มืดก็เลิศค่ะ แอปเปิ้ลยังยืนยันอีกว่าสามารถถ่ายภาพมาโครได้แล้วในยะเพียงแค่ 2 เซนติเมตร นอกจากภาพนิ่งแล้ว งานวิดีโอคราวนี้ถือว่าอเมซิ่งกว่าครั้งไหน ๆ เพราะว่าเขารองรับการถ่ายแบบ Cinematic เพราะเป็นกล้องแบบ end-to-end pro workflow ระบบโฟกัสจะดียิ่งขึ้น ปรับการถ่ายแบบหน้าชัดหลังเบลอได้สมูธมาก ๆ แถมถ่ายไฟล์ดิบแบบ ProRes Dolby Vison HRD ได้ถึง 4K 30fps ตรงนี่ใครที่ทำงานเกี่ยวกับหนังต้องไม่พลาดแล้ว และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่พลาดไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ส่วนสี รอบนี้ทางแอปเปิ้ลจากจำหน่ายทั้งหมด 4 สีค่ะ ได้แก่ เซียร์ร่าบลู สีเงินสีทอง และสีกราไฟต์ และในรอบนี้ทางแอปเปิ้ลได้ให้หน่วยความจุที่ให้มาอย่างจุใจที่มากถึง 1TB เลย เหมาะกับสายภาพยนตร์จริง ๆ เลยล่ะค่ะ ราคาและหน่วยความจุ จะอยู่ตามรูปด้านล่างนี้เลย และนี่ก็เป็นสรุปแบบคร่าว ๆ จากเราค่ะ หลังจากได้ดูสตรีมมิ่งแล้วกระเป๋าตังค์และบัตรเครดิตก็คงจะสั่นกันเลยสิคะ ในความคิดเห็นของเรา เราคิดว่า iPhone 13 รอบนี้มันก็ยังไม่ต่างจาก iPhone 12 เลยค่ะ ด้วยรูปลักษณ์และขนาด มีแค่ iPhone 13 Pro เท่านั้นที่มีเทคโนโลยีการถ่ายแบบ Cinematic เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ดูว้าว แต่ในส่วนนี้ดูจะเหมาะกับมืออาชีพมากกว่าค่ะ แต่เราแนะนำเลยว่าใครที่กำลังลังเล หรือว่าใช้รุ่นเก่าอย่าง iPhone 6 หรือ 7 หรือ 8 นี่ควรเปลี่ยนนะคะ ถึงแม้ว่าในรุ่นที่กล่าวมายังสามารถออัพเดท ios 15 ได้อยู่ แต่ประสิทธิภาพการทำงานก็ยังคงช้ากว่า iPhone 13 ค่ะ แต่ขอแอบบกระซิบนะคะว่า ซื้อ iPhone 12 ยังแอบคุ้มกว่าเล็กน้อย แต่น่าเสียดายมากที่ทางแอปเปิ้ลเลิกขาย iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max เริ่มจับจองไอโฟนทั้ง 2 รุ่นได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2021 และทางแอปเปิ้ลจะเริ่มจัดจำหน่ายทางเว็บและหน้าร้านส่งวันที่ 8 ตุลาคม 2021 เล็งตัวไหนไว้ก็อย่าลืมมาแชร์บอกกันนะคะ อ้อ และอีกอย่าง ในรอบนี้การผลิตทั้งหมดจะเป็นการรีไซเคิล 100% เพื่อเป็นใช้ทรัพยกรให้น้อยที่สุด และจะไม่มีการห่อพลาสติกที่ตัวกล่องไอโฟนอีกต่อไป ฟังดูสมเหตุสมผลกับการรักษ์โกลมากเลยใช่ไหมล่ะคะ ขอขอบคุณรูปจาก Apple อัปเดตข่าว ดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี!