หลังจากที่ องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) ประกาศรับรองวัคซีน Nuvaxovid® ไปก่อนหน้านี้ WHO ก็ประกาศรับรองให้ Nuvaxovid® เป็นวัคซีนลำดับที่ 10 ที่ใช้ในการป้องกันโควิด – 19 ในวันที่ 21 ธันวาคม 2564 วัคซีนชนิดนี้ผลิตโดยบริษัท Novavax เป็นวัคซีนต้นแบบของ Covovax® ที่เพิ่งได้รับการรับรองไปเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2564 ทั้ง 2 ชนิด ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบเดียวกัน ต่างกันที่ตัว Nuvaxovid® ผลิตที่ยุโรป ส่วน Covovax® ผลิตที่อินเดีย โดยแนะนำให้ฉีดในขนาด 5 ไมโครกรัม จำนวน 2 เข็ม ระยะเวลาห่างกัน 3-4 สัปดาห์ข้อมูลของ Nuvaxovid®• เทคโนโลยีการผลิต Nuvaxovid® ใช้เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมเรียกว่าเป็นวิธีการย่อยโปรตีนบางส่วนที่มีการทดลองใช้มาตั้งแต่ปี 1986 เป็นการนำเอาโปรตีนส่วนหนามของไวรัส (Subunit Protein) ไปผ่านการตกแต่งพันธุกรรมโดยใช้เซลล์ของผีเสื้อกลางคืน ส่งต่อเข้าไปในระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นวิธีการแบบเดียวกันกับวัคซีนไวรัสตับอักเสบ B โรคไอกรน และไข้หวัดใหญ่ แต่ข้อเสียคือ วัคซีนประเภทนี้ มักให้ภูมิคุ้มกันที่ไม่สูงมากนัก จึงจำเป็นต้องให้กระตุ้นหลายครั้ง แต่ทาง Novavax แก้ปัญหาโดยนำไปผสมกับสารเร่งภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า “Matrix-M” ซึ่งทำให้สามารถกระตุ้นภูมิได้ดีขึ้น ในขณะที่วัคซีนชนิด mRNA ซึ่งก็คือ Pfizer และ Moderna ใช้เทคโนโลยีวิธีการผลิตโปรตีนส่วนหนาม เพื่อให้ร่างกายจดจำและสร้างแอนติบอดีเพื่อมาป้องกันการติดเชื้อ• ประสิทธิภาพและความปลอดภัย เนื่องจากการผลิต Nuvaxovid® ใช้วิธีการผลิตที่มีมานาน ทำให้ทราบและสามารถจัดการอาการข้างเคียงได้ดีกว่า Pfizer และ Moderna เพราะวัคซีนทั้งสองชนิดใช้วิธีที่เป็นวิธีการผลิตแบบใหม่ ไม่เคยมีข้อมูลมาก่อน ซึ่งรายงานอาการข้างเคียงส่วนใหญ่ของ Nuvaxovid® คือ ปวด เจ็บบริเวณที่ฉีด คลื่นไส้อาเจียน แต่ไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรง อย่างการเกิดลิ่มเลือดอุดตันของวัคซีน AstraZeneca หรือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจาก Pfizer และ Moderna ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่อาจทำให้คนไทยยังลังเลที่จะรับวัคซีน อีกทั้งหากเกิดสายพันธุ์เชื้อดื้อยา ก็สามารถปรับเปลี่ยนโปรตีนใหม่เพื่อรองรับสายพันธุ์ดื้อยาได้อย่างรวดเร็วมากกว่าวัคซีนชนิดอื่น ส่วนผลการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนในปี 2020 ตีพิมพ์ในวารสาร NEJM พบว่าภูมิคุ้มกันของอาสาสมัครอยู่ในระดับสูงกว่าภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยโควิด – 19 ที่ติดเชื้อตามธรรมชาติถึง 4 เท่า และหากเทียบประสิทธิภาพตามสายพันธุ์เชื้อไวรัสที่มีการระบาดอยู่นี้ ก็ถือว่า Nuvaxovid® มีประสิทธิภาพประมาณร้อยละ 90 ต่อสายพันธ์ุที่น่ากังวล เช่น Alpha และ Beta ได้สูงมากกว่าร้อยละ 90 โดยสรุปคือ มีประสิทธิภาพดีไม่แพ้กับวัคซีน Pfizer Moderna แต่มีความปลอดภัยสูงกว่า โดยส่วนตัว รับวัคซีนมาทั้งหมด 3 เข็ม โดยวัคซีน Sinovac 2 เข็ม ไม่เกิดอาการข้างเคียงใด ๆ และ Pfizer ในเข็มที่ 3 เจอผลข้างเคียงอยู่พอสมควร มีอาการทั้งไข้ ปวดแขนอยู่เป็นวัน รวมถึงอาการข้างเคียงในระยะยาวคือทำให้เกิดประจำเดือนมาผิดปกติอยู่ 2-3 เดือน ซึ่งอันนี้แล้วแต่คนนะคะ เท่าที่สอบถามคนที่ฉีดพร้อม ๆ กัน บางคนมีต่อมน้ำเหลืองโต แต่เป็นแค่ไม่กี่วันก็อาการดีขึ้น แต่ก็ทำให้เกิดความกังวลอยู่ดี หากว่ามีวัคซีนชนิดนี้เข้ามาก็น่าจะเป็นความหวังในการกระตุ้นในเข็มต่อไปเลยทีเดียว• การขนส่งและการเก็บรักษา Nuvaxovid® จัดเก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิปกติของการจัดเก็บยา ไม่จำเป็นต้องเก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ทำให้มีการบริหารจัดการวัคซีนที่ง่ายกว่าวัคซีนชนิดอื่น และน่าจะทำให้การกระจายวัคซีนทำได้ง่ายและทั่วถึงมากยิ่งขึ้นหากประเมินจากข้อมูลข้างต้น ถือได้ว่าวัคซีนนี้เป็นอีกหนึ่งความหวังในการต่อสู้กับโควิด – 19 เนื่องจากสามารถปรับเปลี่ยนรองรับกับการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด – 19 ได้ง่าย ซึ่งช่วงนี้ต้องบอกว่ากลายพันธุ์เร็วจริง ๆ และเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ยังเป็นกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนชนิดอื่น ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้อีกด้วย หากสามารถนำเข้ามาได้ทันในปีนี้ คิดว่าน่าจะทำให้การตัดสินใจฉีดวัคซีนของคนไทยเพิ่มขึ้น หวังว่าในปี 2565 เราจะสามารถหาทางจัดการกับเจ้าเชื้อโควิด -19 ได้เสียที ระหว่างนี้อย่าลืมดูแลตัวเองกันให้ดีนะคะ รักษาระยะห่าง ล้างมือ ใส่หน้ากาก ฉีดวัคซีน (เท่าที่มี ) ขอให้ทุกท่านปลอดภัยค่ะ เรียบเรียงข้อมูล WHO, EMCขอบคุณภาพประกอบทั้งหมดจาก unsplashภาพที่1โดย Spencer Davis ภาพที่2 โดย CDCภาพที่3 โดย Towfiqu barbhuiya ภาพที่4 โดย Mat Napoภาพปก โดย Hakan Nuralอัปเดตข่าว ดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี!