เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่ง Sideways ในวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ อย่างไรก็ตามยังมีโอกาสก่อนตัวลงในระยะถัดไปหลังดัชนีหลุดต่ำกว่าแนวรับ 1,575-1,580 จุดอีกครั้ง ภาพรวมตลาดยังขาดปัจจัยใหม่ ความกังวลหลักยังคงอยู่ที่เงินเฟ้อที่ยังสูง โดยเฉพาะสหรัฐฯและยุโรป ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอและอาจเสี่ยงถึงเกิด Recession ในอนาคต ล่าสุด Core PCE สหรัฐฯ เดือน พ.ค. +4.7% Y-Y ต่ำกว่าตลาดคาดเล็กน้อยและลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ +4.9% Y-Y ทำให้ภาพรวมยังไม่แย่
ส่วนวันนี้จับตาเงินเฟ้อยุโรโซนเดือน มิ.ย. ตลาดคาด +8.4% Y-Y เร่งตัวจากเดือนก่อน เรามองตลาดจะยังผันผวนในช่วง 3Q22 แต่คาดไทยจะแข็งแรงกว่าตามเศรษฐกิจที่เป็นขาขึ้น กลยุทธ์ยังเน้นลงทุนในหุ้น Value และ Selective หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมีแนวโน้มกำไร 2Q22-2H22 ที่แข็งแกร่ง ถูกกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอและต้นทุนที่ปรับขึ้นจำกัด
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Value และหุ้นทีมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและแนวโน้มกำไร 2Q22-2H22 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือนก.ค. : CK, CPN, GFPT, KTB, MAKRO
หุ้นเด่นวันนี้ : BDMS
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2023 จาก FSSIA 31 บาท
• โมเมนตัมผลการดำเนินงาน 2Q22 อาจชะลอ Q-Q ตามฤดูกาลและสถานการณ์ COVID-19 ที่คลี่คลาย แต่คาดยังโตแกร่ง Y-Y จากทั้งผู้ป่วยที่ไม่ใช่ COVID-19 และต่างชาติที่เริ่มฟื้น
• โมเมนตัม 2H22 คาดโดดเด่นทั้งปัจจัยฤดูกาลและนักท่องเที่ยวที่กลับเข้ามาชัดเจนมากขึ้น และคาดจะเต็มที่มากขึ้นในปี 2023 FSSIA คาดกำไรปี 2022-2023 +31% Y-Y และ +24% Y-Y ตามลำดับ เป็นหุ้น Defensive ที่แข็งแรงท่ามกลางภาวะตลาดที่ผันผวน
• แนวรับ 24.50//24 บาท แนวต้าน 26//27-27.50 บาท
**บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) คาดดัชนีฯ ปรับตัวลง ตลาดถูกกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นักลงุทนต่างชาติกลับมาขายตลาดหุ้นไทย
ทั่วโลกกลับมากังวลเรื่อง Recession อีกครั้ง หลังตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ออกมาปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดดัชนีการใช้จ่ายภาคเอกชนของสหรัฐฯ(PCE) ปรับตัวขึ้น 6.3% เท่ากันเป็นเดือนที่สอง อันเป็นสัญญาณเงินเฟ้อ และการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ Fed
การประชุม OPEC+ คืนนี้ที่ผ่านมา(30) ยังคงการเพิ่มอัตราการผลิตไว้ที่ 6.4 แสนบาร์เรล/วัน จากนี้ไปภาระจะถูกผลักไปอยู่ที่ไบเดนในการคุยกับอิหร่านเรื่องน้ำมัน หุ้นน้ำมันอ่จไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ ถ้าความกังวล Recession ของสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูงแบบนี้
เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่า (ล่าสุด 35.33 บาท/ดอลลาร์) อีกทั้ง ETF ต่าง ๆ ยังถูกขาย สะท้อนได้ว่านักลงทุนต่างชาติมีโอกาสที่จะขายหุ้นไทย (วานนี้ Net Sell 1.4 พันล้านบาท)
ประเด็นของโรงกลั่น บทสรุปอาจจะไม่สามารถรีดกำไรจากโรงกลั่นได้ ซึ่งเรามองว่าตลาดมีการรับรู้เรื่องนี้แล้ว
ธปท. ยกเลิกการคุมการจ่ายเงินปันผลของธนาคาร แต่ยังคงมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ไว้ ซึ่งอยู่ในการทำประมาณการของเราอยู่แล้ว..... ธนาคารที่อาจจ่ายเงินปันผลมากกว่าปี 2021 คือ KKP
ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ตัวเลขส่งออกไทย และตัวเลขเงินเฟ้อยุโร
ทั้งนี้ ความกังวล Recession ของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนทั่วโลก กลับมาเพิ่มการถือ “เงินสด” ในมุมของเรา วันนี้ เราพยายามเลือก sector ที่เลี่ยงความเสี่ยงนี้ หลักๆ คือกลุ่มท่องเที่ยวของไทย (เพื่อเก็งกำไรช่วงสั้นไปก่อน)
ตลาดสัปดาห์นี้ ถูกกระทบทั้งปัจจัยลบในต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีการขายหุ้นออกมา และการปิดงบกลางปี เรากำลังรอดูว่าสัปดาห์หน้าตลาดจะฟื้นตัวได้หรือไม่
หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลที่สูง จากการรวบรวมโดย Bloomberg อาจกลายเป็นที่พักเงิน เราให้ความสนใจกับ PTT(5.8%) และ INTUCH(4.5%) และขอเพิ่ม FTREIT(6.5%), CPNREIT(3.4%) ที่จ่ายเงินปันผลในอัตราที่ดีเช่นกัน
พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำ GUNKUL ออก และนำ PTT* เข้ามาแทน พอร์ตหุ้นประกอบด้วย PTT*(10%), CENTEL(20%), BANPU(10%), PSL(10%), THCOM*(10%), BDMS(20%)
Strategy Stock Pick
PTT*: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 37.00 บาท) “วางหุ้นปันผลมากกว่า 4% รับมือตลาดผันผวน”
•แนะนำปรับพอร์ตเสริมหุ้นปันผลสูง ตลาดประเมินปันผลเฉลี่ยในปีนี้และปีหน้าของ PTT ที่ 6% และ 6.34% ตามลำดับ คาดนักลงทุนกลุ่ม Dividend Hunter ทยอยซื้อสะสม
•Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี ‘22-‘23 เฉลี่ยที่ 1.13 แสน ลบ. และ 1.15 แสน ลบ. +1.8%YoY, +1.77%YoY ตามลำดับ
Technical : CFRESH, ESSO
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET ทรงตัวในกรอบแนวรับ 1,560 แนวต้าน 1,575 โดยการฟื้นจำกัด จากความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย แนะนำซื้อกลุ่มได้ประโยชน์เปิดประเทศ เช่น AOT, BAFS, ERW, BDMS, MAJOR / SCGP, SCC (+ต้นทุนการผลิตลดลงตามราคาน้ำมัน)
TQM* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 62.50 บาท) แนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q65 เติบโตต่อเนื่อง จากเบี้ยประกันรวมที่เพิ่มขึ้นตามยอดขายประกันภัยอุบัติเหตุ ประกันภัยบ้าน ประกันสุขภาพ และการขายประกันผ่าน Thailand pass รวมถึงการเข้าซื้อ TQR ซึ่งเป็นนายหน้าประกันภัยต่อที่จะเริ่มรับรู้ผลประกอบการเข้ามาตั้งแต่ไตรมาสนี้ ส่วนแนวโน้มปี 65 บริษัทวางเป้าหมายยอดเบี้ยประกันรวมไว้ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท มาจาก Organic Growth และการทำ M&A โดยวางงบลงทุนสำหรับการเข้าซื้อกิจการไว้ราว 1 พันล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทนายหน้าประกันอีก 2 แห่ง ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 65 จะเติบโตราว 20-30% ขณะที่อัตรากำไรอยู่ในระดับสูงจากนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ควบคู่กับการคุมค่าใช้จ่ายด้านพนักงาน และเพิ่มการขายผ่านช่องทาง Digital Platform มากขึ้น
CENTEL (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 44.80 บาท) แนวโน้มผลประกอบการคาดโอกาสได้เห็น 2Q65 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งจากธุรกิจโรงแรม และ ธุรกิจอาหาร จากได้แรงหนุนจากแนวทางผ่อนปรนนโยบายและแนวทางการเปิดประเทศ โดยยกเลิก Thailand Pass ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรกไทยเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยยืนระดับ 2 ล้านคน ด้านโครงการที่จะเปิดตัวในปีนี้ได้แก่ โรงแรมเซ็นทาราโคราช ซึ่งติดห้างสรรพสินค้า คาดได้ประโยชน์ Mixed Use ซึ่งคาดจะสามารถเปิดได้ราวเดือน ก.ย. 65 และโรงแรมที่ชลบุรี, ระยอง เพื่อขยับเป้าโรงแรมสู่ 37 แห่ง, ห้องพักสู่ 4,000 ห้องใน 5 ปีข้างหน้า