TNP ผุดสาขาใหญ่ ปูเสื่อรอนโยบายรัฐ
#TNP #ทันหุ้น – TNP จับตาโค้งท้ายสดใส อวดสาขาทั้งสิ้น 45 แห่ง เร่งเครื่องดัน SSSG ชน 2% แย้มแผนธุรกิจปี 2567 เล็งเปิดสาขาขนาดใหญ่ 2 พันตารางเมตร ใกล้สนามบินเชียงราย เชื่อได้เวลาจังหวะเหมาะสม ตั้งตารอนโยบายรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ
ภญ.อมร พุฒิพิริยะ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ทิศทางไตรมาส 4/2566 ค่อนข้างสดใส แต่เดือนตุลาคมปีก่อนฐานรายได้สูง เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากโครงการคนละครึ่ง และประชารัฐ แต่เมื่อดูยอดขายในเดือนตุลาคมที่ปิดออกมา บริษัทยังมียอดขายที่ดี สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มยอดขายในไตรมาส 4/2566 ยังเติบโตไปได้
** บริหารต้นทุน
อีกทั้งบริษัททำการบ้านกับซัพพลายเออร์หนักมาก เพราะบริษัทเปิดสาขาใหม่ ดังนั้นการซื้อขายสินค้าต้องมีมากขึ้น จึงต้องเจรจากับซัพพลายเออร์อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับต้องติดตามต้นทุนสินค้า ต้นทุนขนส่งอย่างใกล้ชิด เพราะต้นทุนขึ้นทุกเซ็กเตอร์ ทำให้ต้นทุนการขายสินค้ามีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทไม่ได้ปรับราคาขายเพิ่มขึ้น แต่ใช้การบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมีสาขาทั้งหมด 45 สาขา ส่วนในเดือนธันวาคมนี้จะเปิดสาขาอีก 2 สาขา เป็น 47 สาขา โดย 1 ในสาขาที่เปิดใหม่จะเป็นสาขาขนาดใหญ่ หรือเป็นแฟล็กชิพสโตร์ ขนาด 2 พันตารางเมตรและใกล้สนามบินเชียงราย สำหรับสาขาดังกล่าวบริษัทตั้งใจไว้นานแล้วที่จะขยายสาขาเป็นแฟล็กชิพสโตร์ เพราะเตรียมพื้นที่มากว่า 3 ปี แต่ ณ ขณะนั้นเกิดสถานการณ์โควิด บริษัทจึงใช้การเปิดสาขาเพื่อรองรับกำลังซื้อจากผู้บริโภคโดยรอบเป็นหลัก
สำหรับปี 2567 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มยอดขายสาขาเดิม หรือ Same Store Sales Growth (SSSG) เป็น 1-2% จากปีนี้ SSSG บางสาขาติดลบ เนื่องจากบริษัทจัดกิจกรรมทางการตลาดค่อนข้างมาก ทำให้การใช้งบทางการตลาดสูง ขณะที่ยอดขายยังคงทรงตัว
** ผุดสาขาอัพยอด
บริษัทอยู่ระหว่างจัดทำแผนธุรกิจปี 2567 แต่เบื้องต้นการเติบโตปี 2567 จะเติบโตจากการขยายสาขาเป็นหลัก ซึ่งในไตรมาส 1/2567 จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา ทำให้ต้นปี 2567 จะมีสาขาประมาณ 50 สาขา ส่วนทั้งปี 2567 คาดจะเปิดสาขาอยู่ที่ราว 5 สาขา หรือตามความเหมาะสมในการลงทุน
ภญ.อมร กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศอาจจะชะลอตัว เพราะภาพการลงทุน หรือทำอะไรต่างๆ ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นนอกจากการขายสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปแล้ว บริษัทได้มองหาธุรกิจใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยบริษัทเริ่มเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าบางแบรนด์แล้ว และตัวเลขการขายขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้งนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่ใช้สำหรับซื้อสินค้าต่างๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค เครื่องมือทำกินฯลฯ ตามร้านค้าในชุมชน เป็นระยะเวลา 6 เดือน ส่งผลดีต่อบริษัทโดยตรง และหากประกาศออกมาชัดเจนบริษัทได้มีแผนรองรับไว้อย่างครบถ้วน เนื่องจากธนพิริยะมีสาขาที่ครอบคลุมภาคเหนือตอนบน ที่กระจายตามแหล่งของชุมชนอย่างทั่วถึง ด้วยสินค้าที่ครอบคลุมตอบโจทย์ผู้บริโภค จะทำให้ลูกค้าสะดวกสบายในการเข้ามาใช้เงินดิจิทัลในทุกสาขา
อนึ่ง 9 เดือนบริษัทมียอดขายแล้วที่ 1,929.26 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 107.79 ล้านบาท