รีเซต

วิกฤติ! เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยาแตะ 98% เต็ม กรมชลประทานเร่งระบาย 2,900 ลบ.ม./วิ หลังพายุคัลแมกีถล่ม

วิกฤติ! เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยาแตะ 98% เต็ม กรมชลประทานเร่งระบาย 2,900 ลบ.ม./วิ หลังพายุคัลแมกีถล่ม
TNN ช่อง16
11 พฤศจิกายน 2568 ( 12:59 )
4

ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะน้ำล้นเขื่อนในหลายพื้นที่ หลังได้รับอิทธิพลจากพายุ “คัลแมกี” ที่ส่งผลให้ฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบายน้ำภาคกลาง กรมชลประทานรายงานว่าขณะนี้เขื่อนหลัก 4 แห่งในลุ่มเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำเฉลี่ยรวมสูงถึง 98% ของความจุทั้งหมด หรือคิดเป็นกว่า 17,800 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้ต้องเร่งปรับอัตราการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท เพิ่มขึ้นเป็น 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 10 พฤศจิกายน เพื่อป้องกันน้ำเอ่อล้นและบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ปลายน้ำอย่างเร่งด่วน

สำหรับสถานการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยา พบว่าเขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำ 9,562 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 99% ของความจุ น้ำไหลเข้า 92.54 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ระบายออก 48.01 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน หากฝนตกต่อเนื่องเพียง 2–3 วัน เขื่อนจะเต็มความจุจนต้องระบายน้ำเพิ่ม ขณะที่เขื่อนสิริกิติ์มีน้ำ 6,439 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 97% ของความจุ และยังรับน้ำได้อีกเพียง 221 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนในจังหวัดกาญจนบุรี มีน้ำถึง 101% ของความจุ ซึ่งเต็มเกินระดับปลอดภัยและต้องระบายน้ำต่อเนื่อง ขณะที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีน้ำ 917 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 96% ของความจุรวม

รวมแล้วเขื่อนทั้ง 4 แห่งในลุ่มเจ้าพระยามีปริมาณน้ำรวม 17,828 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 98% ของความจุ มีน้ำไหลเข้ารวม 135.04 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และระบายออกเพียง 80.52 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ระดับน้ำในเขื่อนอยู่ในภาวะวิกฤติที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยกรมชลประทานย้ำว่า การระบายน้ำต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบพื้นที่ลุ่มต่ำตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา

ขณะเดียวกัน ลุ่มน้ำแม่กลองซึ่งประกอบด้วยเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ ยังสามารถบริหารจัดการน้ำได้ดี โดยเขื่อนศรีนครินทร์มีน้ำ 5,498 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 74% ของความจุ และเขื่อนวชิราลงกรณมีน้ำ 5,042 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 86% ของความจุ รวมทั้งสิ้น 10,540 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 79% ของความจุรวม ซึ่งยังสามารถรับน้ำได้อีกกว่า 2,700 ล้านลูกบาศก์เมตร ถือเป็นจุดสมดุลสำคัญในการรองรับน้ำเหนือ

สำหรับเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการควบคุมการระบายน้ำภาคกลาง ปัจจุบันเพิ่มการระบายน้ำเป็น 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จากเดิม 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยระดับน้ำเหนือเขื่อนอยู่ที่ +17.66 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ส่วนอัตราน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C.2 ที่จังหวัดนครสวรรค์อยู่ที่ 3,011 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งจัดอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ปลายน้ำเพิ่มขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง

กรมชลประทานและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้จัดทำแผนระบายน้ำระยะสั้น โดยจะเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลเป็น 53 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันในวันที่ 11 พฤศจิกายน และจะเพิ่มเป็น 55 ล้านลูกบาศก์เมตรในวันที่ 12 พฤศจิกายน โดยจะไม่เกินระดับสูงสุดที่ 60 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อควบคุมให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างปลอดภัย พร้อมผันน้ำเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรมทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์น้ำหลาก

ขณะเดียวกัน กรมชลประทานได้ออกประกาศเตือนประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง และชัยนาท ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ ให้เร่งยกของขึ้นที่สูงและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ส่วนกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำหลัก เช่น บางพลัด บางโพ บางยี่ขัน และฝั่งธนบุรี ก็มีความเสี่ยงต่อระดับน้ำที่อาจสูงขึ้นในช่วงน้ำทะเลหนุนปลายสัปดาห์นี้

ภาพรวมปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่ทั่วประเทศปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 88% ของความจุรวม โดยเฉพาะลุ่มเจ้าพระยาที่แตะระดับ 98% ถือเป็นจุดวิกฤติที่ต้องบริหารจัดการอย่างใกล้ชิด กรมชลประทานยังคงเน้นการระบายน้ำอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมซ้ำในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง โดยมีแผนผันน้ำเข้าพื้นที่รับน้ำทางการเกษตรเพิ่มเติม ขณะที่รัฐบาลได้เร่งอนุมัติเงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมและจัดทีมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง