Prototype Voice สำรวจพฤติกรรมการใช้เงินคนรุ่นใหม่ พบมีแนวโน้มค่าใช้จ่ายเพื่อไลฟ์สไตล์สูง กระทบสภาพคล่อง ไม่มีเงินออม “พฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของคนรุ่นใหม่ยุค 4.0 ที่ไม่เพียงแต่ใช้จ่ายกับที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการใช้จ่ายเงินเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ รวมไปถึงการใช้จ่ายเกี่ยวแฟชั่นและการชอปปิ้งอีกด้วย ทำให้เกิดพฤติกรรมการใช้เงินที่อาจส่งผลกระทบต่อรายจ่ายมากกว่ารายรับ” จากการศึกษาผลงานวิจัยของ “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ผู้นำที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมแรงงานกว่า 80 ประเทศทั่วโลก และในประเทศไทย ได้จัดทำผลการวิจัยเรื่อง “พฤติกรรมการใช้เงิน การดำเนินชีวิต และความคิดเห็นที่มีต่อการทำงานของคนรุ่นใหม่ 4.0” (Employee Perspective 4.0) ซึ่งทำให้เห็นถึงรายได้รวมทั้งครอบครัวต่อเดือน ดังนี้รายได้สูงสุด 70,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 36รายได้ 15,001 – 25,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 23รายได้ 10,001 – 20,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 22รายได้ 60,001 – 70,000 บาท คิดเป็นร้อย 19 ทั้งนี้ทีมข่าว The Prototype ทำแบบสำรวจออนไลน์ สำรวจพฤติกรรมการใช้เงินของคนในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลของคนวัยทำงาน จำนวน 150 คน พบว่าภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนส่วนใหญ่อยู่ที่ 10,000 – 15,000 บาท ซึ่งมีการใช้จ่ายเงินไปกับค่าที่อยู่อาศัยมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60 รองลงมาคือสิ่งอุปโภค บริโภค ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ของใช้ส่วนตัว ค่าเดิน และค่าอาหาร คิดเป็นร้อยละ 25 และนอกจากนี้ยังเห็นได้ว่าคนในวัยนี้มีการใช้จ่ายเงินไปในส่วนของการท่องเที่ยว การซื้อของออนไลน์ และการใช้จ่ายเกี่ยวกับแฟชั่น คิดเป็นร้อยละ 15 ตามลำดับ ทั้งนี้ในส่วนของการวางแผนการเงินของคนวัยทำงานนั้น พบว่ามีการแบ่งสัดส่วนการออมเงินต่อเดือนโดยคิดเป็นร้อยละ 60 มีเงินเก็บต่อเดือนอยู่ที่ 500 – 1,000 บาท รองลงมาร้อยละ 25 มีเงินเก็บต่อเดือนอยู่ที่ 300-500 บาท และสุดท้ายร้อยละ 15 มีเงินเก็บต่อเดือนอยู่ที่ 1,000 – 2,000 บาท ตามลำดับ จากการที่ได้ศึกษาวิเคราะห์แบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้เงินของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเห็นได้ว่าคนในวัยนี้หรือกลุ่มคน Gen Y นั้น มีการใช้จ่ายเงินไปกับของฟุ่มเฟือย ซื้อตามกระแสนิยมมากไปจนเกินตัว ทำให้เกิดนิยามที่ว่า “ของมันต้องมี” โดยไม่คำนึกถึงรายได้หรือภาระที่ตนเองต้องรับผิดชอบ จนอาจส่งผลทำให้ก่อหนี้สินที่ไม่จำเป็นตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งนี้ ปัจจัยเนื่องมาจากการปล่อยสินเชื่อหรือบัตรเครดิตที่ง่ายมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน เมื่อมองไปในส่วนของการวางแผนการเงินนั้นคนวัยนี้ ก็เริ่มมีการวางแผนทางด้านการเงินมากขึ้น เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่บาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้มีการแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายเงิน มีการวางเป้าหมายในการออมเงินเพื่ออนาคต รวมไปถึงทางภาครัฐและภาคเอกชนก็ได้เข้ามาส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมการออมเงิน และการลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ แต่ถึงอย่างไรคนรุ่นใหม่ก็ยังขาดแบบแผน และขาดวินัยในการออมเงินอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ คุณสฤณี อาชวานันทกุล นักวิจัย และนักวิชาการอิสระด้านการเงิน ให้ความเห็นในเรื่องของพฤติกรรมการใช้เงินของคนวัยทำงานว่าคนวัยนี้เริ่มมีการวางแผนทางด้านการเงินมากขึ้น เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่บาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้มีการแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายเงินมากขึ้น มีการวางเป้าหมายในการออมเงินเพื่ออนาคต ซึ่งการวางแผนการออมเงินนั้นมีความสำคัญมาก เนื่องจากทุกคนต้องใช้เงินทุกวันจึงต้องมีทักษะในการจัดการเงินที่ดี และควรปลูกฝังพฤติกรรมการใช้เงินตั้งแต่วัยเด็กเพื่อให้มีการใช้จ่ายเงินอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการตรวจสอบบัญชีว่าในแต่ละเดือนใช้จ่ายอะไรบ้าง วางแผนงบประมาณในการใช้เงินอย่างเหมาะสม ทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย แบ่งเงินเก็บเป็นส่วนๆ และเก็บเงินสำรองไว้ใช้สำหรับกรณีฉุกเฉิน ทั้งยังต้องสร้างวินัยในการใช้เงิน ไม่ฟุ่มเฟือยซื้อของตามกระแสนิยม จนอาจส่งผลกระทบไปถึงรายจ่ายที่มากกว่ารายรับ ทั้งนี้คุณสฤณี ยังกล่าวอีกว่า ทุกคนมีทัศนะคติที่แตกต่างกัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องสำคัญของแต่ละบุคคลในการใช้จ่ายเงิน เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างคือวิธีคิด วิธีมองและการวางแผนรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเข้ามา ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่ดีในการเตรียมพร้อมและระมัดระวังเรื่องการของการใช้เงินในทุกๆ วัน ทั้งยังมองไปสู่ระบบของการศึกษาที่ควรมีการเรียนการสอนในเรื่องของการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการออมเงิน หรือการสร้างความมั่นคงทางด้านการเงินในอนาคตเครดิต : ข้อมูลรายได้ต่อเดือน Employee Perspective 4.0เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !