อิก บรรพต ธนาเพิ่มสุข ได้ทำการสัมภาษณ์นักลงทุน นักวิเคราะห์ วาณิชธนกร ทั้ง 7 คน ผ่านทางช่อง ถามอีกกับ อิก TAM-EIG แล้วรวบรวมเป็นบทความออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้ ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.การคอร์เนอร์หุ้นหมายถึง การเข้าครอบครองหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทในตลาดโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเพื่อควบคุมการซื้อขายและราคาหุ้น เช่น ลดจำนวน “Free Float” หรือจำนวนหุ้นที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดจนทำให้หุ้นขาดสภาพคล่อง และดันราคาหุ้นให้ขึ้นหรือกดลงตามเป้าหมายของผู้ควบคุม โดยวิธีนี้ต้องใช้การเก็บหุ้นในปริมาณมากๆ จนทำให้ผู้เล่นรายอื่นในตลาดขาดโอกาสซื้อขายหรือเข้าถึงหุ้นนั้นๆ ซึ่งแตกต่างจากการปั่นหุ้น ที่หมายถึงการสร้างราคาหุ้นที่สูงเกินจริงด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ปล่อยข่าวลือ สร้างกระแสในตลาด หรือใช้เทคนิคการซื้อขายหลอกล่อให้นักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อ ซึ่งเป็นที่นิยมใช้ในยุคก่อน แต่การคอร์เนอร์หุ้นสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการปั่นหุ้นได้ 2.การจํานําหุ้น (Pledging Shares) เป็นเรื่องปกติในตลาดหุ้น โดยเฉพาะ สําหรับเจ้าของธุรกิจที่ต้องการสภาพคล่องแต่ไม่อยากขายหุ้นออกไปตรงๆ เนื่องจากนักลงทุนมักมองว่าการขายหุ้นของผู้บริหารเป็นสัญญาณลบ ทําให้หลายคนเลือกใช้วิธีนําหุ้นไปค้ำประกันเงินกู้แทน เมื่อนําหุ้นไปจํานําแล้ว หากราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่มั่นคง เจ้าของก็สามารถบริหารจัดการหนี้และไถ่ถอนหุ้นคืนได้ตามปกติ แต่หากราคาหุ้นตกลงต่ำกว่าระดับที่กําหนด ธนาคารก็อาจบังคับขาย ทําให้เจ้าของเสียหุ้นที่จํานําไว้ และอาจเกิดปัญหาตามมาหลายอย่าง 3.Technical Knockout ไม่ใช่การโกงที่เริ่มต้นด้วยความตั้งใจ แต่เป็นสถานการณ์ที่ “ปัญหาพาไป” เจ้าของบริษัทอาจไม่ได้ตั้งใจจะทุจริตตั้งแต่แรก แต่เมื่อเกิดปัญหาสภาพคล่อง เช่น กระแสเงินสดติดขัดก็ต้องหาทางแก้ไข ซึ่งมักเริ่มจากการกู้เงิน แต่ถ้าจะกู้มาแล้วงบการเงินของบริษัทไม่ดี ธนาคารก็อาจไม่อนุมัติสินเชื่อ วิธีแก้ปัญหาที่ตามมาคือ “ทําให้ตัวเลขดูดีขึ้น” เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ การพิจารณา เป็นต้น 4.การประชุมนักวิเคราะห์ (Analysts Meeting) ในอเมริกาเรื่องนี้ผิดกฎหมาย แต่ในประเทศไทยไม่ผิด เพราะที่อเมริกาเขามีกฎหมายที่เรียกว่า “Regulation Fair Disclosure” (กฎหมายเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นธรรม) กฎหมายนี้กําหนดว่าบริษัทจดทะเบียนทุกแห่งห้ามเปิดเผยข้อมูลสําคัญล่วงหน้าให้เฉพาะบางกลุ่ม เช่น การให้แนวโน้มผลประกอบการ (Guidance) หรือข้อมูลที่อาจมีผลต่อ ราคาหุ้น เพราะถ้ามีคนรู้ก่อนราคาหุ้นอาจถูกปั่นขึ้นหรือลงโดยไม่เป็นธรรม” 5.การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นไม่ได้เกิดขึ้นแบบไร้ทิศทาง มีรูปแบบบางอย่าง ที่สามารถบ่งบอกได้ว่ามี “เจ้า” หรือกลุ่มทุนกําลังเข้ามาควบคุมหรือกำหนด ทิศทางของหุ้น โดยเฉพาะในช่วงก่อนการไล่ราคาขึ้นไป หนึ่งในสัญญาณสําคัญคือ “บิดบาง-ออฟเฟอร์หนา” 6.สรุปกลโกงการตกแต่งบัญชี 1.การสร้างรายได้ปลอม บริษัทนะบันทึกรายได้ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ดึงดูดนักลงทุนให้เพิ่มมูลค่าหุ้นตัวเอง บางกรณีก็ทำเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขของตลาดหลักทรัพย์ เช่น รักษาระดับกำไรต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ถูกเพิกถอนจากตลาด 2.การแต่งบัญชีเพื่อเพิ่มกำไร บริษัทบิดเบือนตัวเลขในงบการเงินเพื่อให้กำไรสูงขึ้น ทำให้ดูเหมือนว่าบริษัทมีผลประกอบการดี ดึงดูดนักลงทุน หรือเพื่อให้ผู้บริหารสามารถเข้าถึงโบนัสและผลตอบแทนตามเป้าหมาย 3.การดึงเงินออกจากบริษัท ผู้บริหาร / กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ใช้ช่องโหว่ทางบัญชีโยกเงินออกจากกิจการ โดยทำให้ดูเหมือนเป็นการใช้เงินเพื่อลงทุนหรือพัฒนาธุรกิจ 4.การใช้บริษัทในเครือเป็นเครื่องมือโยกเงินบริษัทแม่สร้างบริษัทลูกในต่างประเทศ หรือใช้บุคคลที่สามเป็นตัวกลางในการหมุนเงิน เพื่อทำให้การเงินดูดี หรือเพื่อดึงเงินออกจากระบบ 5.การปั่นราคาหุ้นและใช้ข้อมูลภายในสร้างข่าวดี รายงานผลประกอบการเงินดูดีเกินจริง เพื่อให้ราคาหุ้นสูง แล้วผู้บริหารค่อยขายหุ้นออก 7.สรุปสัญญาณอันตรายในงบการเงินที่นักลงทุนต้องจับตา 1. กระแสเงินสดจากการดำเนินงานต้องสอดคล้องกับกำไร หากบริษัทมีกำไรในงบการเงิน แต่กระแสเงินสดจากการดำาเนินงานติดลบอย่างต่อเนื่อง แสดงว่าเงินสดจริงอาจไม่ได้เข้าสู่กิจการ อาจมีการสร้างรายได้ปลอมหรือมีการหมุนเงินผิดปกติ นักลงทุนควรตรวจสอบงบกระแสเงินสด และหากพบว่าติดลบทุกงวด ควรตั้งข้อสงสัย 2. ลูกหนี้การค้าสูงผิดปกติ ยอดลูกหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อยอดขายสูงขึ้นแต่เงินสดไม่เข้า อาจเป็นสัญญาณของการบันทึกยอดขายล่วงหน้าหรือสร้างยอดขายปลอม นักลงทุนควรดู “Days Sales Outstanding” หากพบว่าบริษัทใช้เวลานานผิดปกติในการเก็บเงินจากลูกค้า อาจหมายถึงรายได้ที่เห็นในงบอาจไม่ได้เกิดขึ้นจริง 3. การตั้งสำรองผิดปกติ หากบริษัทมีการตั้งสำรองบ่อยครั้ง เช่น ค่าเผื่อหนี้สูญหรือการด้อยค่าสินทรัพย์ อาจสะท้อนปัญหาการบริหารสินทรัพย์ที่ผิดพลาด หรือใช้การตั้งสำรองเป็นเครื่องมือในการตกแต่งบัญชี โดยเฉพาะหากมีปีที่ตั้งสูงผิดปกติ และปีที่แทบไม่มีการตั้งเลย 4. การลงทุนซื้อสินทรัพย์และบริษัทลูกที่ต้องจับตา ทุกครั้งที่บริษัทลงทุนในสินทรัพย์ เช่น ที่ดิน อาคาร หรือเข้าซื้อบริษัทลูก นักลงทุนควรตรวจสอบว่าเป็นการลงทุนที่จำเป็นหรือไม่ เพราะเงินที่จ่ายออกไปคือเงินสดที่ไหลออกจากกิจการ หากไม่มีการใช้งานจริง หรือการซื้อกิจการนั้นดูคลุมเครือ โดยเฉพาะในต่างประเทศ อาจเป็นช่องทางในการดึงเงินออกจากบริษัท 5. การนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์แทนการขยายธุรกิจ หากบริษัทมีเงินสดส่วนเกิน ควรนำไปใช้ขยายธุรกิจ ไม่ใช่ลงทุนในหุ้น หากพบว่าบริษัทนำเงินไปซื้อหุ้นจำนวนมากโดยเฉพาะในหุ้นที่เกี่ยวข้องกัน สัญญาณของการหมุนเงิน หรืออาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หากมูลค่าหุ้นลดลง ธุรกิจที่ต้องจับตาเป็นพิเศษอาจเป็นธุรกิจที่มีโอกาสตกแต่งบัญชีมักเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนล่วงหน้าจำนวนมากและมีโครงสร้างบัญชีซับซ้อน เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการพัฒนาโครงการนานหลายปี ทําให้รายจ่ายถูกบันทึกเป็นสินทรัพย์แทนค่าใช้จ่าย นักลงทุนต้องดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงานควบคู่กับงบกำไรขาดทุน อีกปัจจัยที่ต้องจับตาคือบริษัทที่พึ่งพาหุ้นกู้มากเกินไป หากบริษัทต้องออกหุ้นกู้ใหม่ตลอดเวลาเพื่อจ่ายคืนหุ้นกู้เก่า อาจเป็นสัญญาณว่าสภาพคล่องมีปัญหา หากวันใดไม่สามารถออกหุ้นกู้ใหม่ได้อาจเกิดวิกฤตทางการเงิน 8.วิธีตรวจสอบความเสี่ยงของบริษัท 1. เช็กหนี้สินระยะสั้น ให้ดูว่าสินทรัพย์หมุนเวียน เช่น เงินสดและลูกหนี้การค้าสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดมาจ่ายหนี้ได้หรือไม่ 2. ดูข้อมูลหุ้นกู้ สามารถตรวจสอบจาก ThaiBMA ว่ามีหุ้นกู้ที่ต้องชำระคืนใน 1 ปีมากแค่ไหน 3. เปรียบเทียบ D/E Ratio หากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงมาก แปลว่าบริษัทอาจไม่สามารถกู้เพิ่มได้และอาจต้องเพิ่มทุนแทน จุดอ่อนของหนังสือเล่มนี้คือการนำเสนอเหมือนกับเป็นวิดีโอ ทำให้อ่านแล้วรู้สึกรำคาญ (โดยเฉพาะวลีที่ว่า: ....ไปติดตามกันได้เลยครับ) เพราะอารมณ์การดูวิดีโอกับการอ่านมีการใช้ Bait Hookไม่เหมือนกัน การเผยทีเด็ดของเนื้อหาจึงไม่ควรใช้ลีลาแบบเดียวกัน นอกจากนี้ การสัมภาษณ์นักลงทุน นักวิเคราะห์จากหลายๆคน ต้องใช้ความคิดรวบรวมประเด็นอย่างระมัดระวังค่อนข้างมาก หากจะไม่ลื่นไหลเท่ากับที่เจ้าตัวนำเสนอด้วยตัวเองล้วนๆ มันก็พอจะเข้าใจได้ ถ้าถามว่าตลาดหุ้นไทยยังหวังได้อยู่มั้ย ท่ามกลางการโกงแบบนี้ ทั้งหมดตอบตรงกันว่า...ลงทุนได้ (เทียบกับ Market Cap. ถือว่ามีน้อยบริษัทที่ทำผิด) แต่คาดหวังผลตอบแทนได้ไม่เหมือนเดิม เพราะข้อจำกัดปัจจัยด้านการแข่งขันและประชากรที่แก่ตัวลงอย่างต่อเนื่อง ประชากรวัยทำงานก็มีน้อยและไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร สิ่งนี้เป็นแผลใหญ่ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ส่วนเรื่องการโกงก็ต้องระลึกเสมอว่า ความโลภคือนิรันดร์ ไม่ช้ากลโกงก็จะหาทางเกิดขึ้นซ้ำ ไม่ว่าตลาดหุ้นประเทศไหนก็ตาม เครดิตภาพ ภาพปก ภาพที่ 1 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 และ 4 โดย AI บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ THE LITTLE BOOK OF MARKET WIZARDS รีวิวหนังสือ How Buffett Does It ตามรอยวอเร็น บัฟเฟตต์ รีวิวหนังสือ GROWTH LECTURE ขุดหุ้นเติบโตได้ในเล่มเดียว เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !