ภาพปกจาก https://pixabay.com/photos/lamp-light-lighting-light-bulb-3489391/ ปัจจุบันกระแสโลกาภิวัตน์มีอิทธิพลต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่างๆในโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องเชื่อมโยงและพึ่งพิงกับต่างประเทศสูง ดังเช่น ประเทศไทย จากการเปลี่ยนแปลงลักษณะประชากร ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีประชากรสูงอายุในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ประชากรวัยรุ่นมีสัดส่วนลดลง เพราะ อัตราการเกิดของประเทศที่พัฒนาแล้วต่ำลง ประกอบกับผู้คนมีสุขภาพดีและอายุยืนมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงก่อให้เกิดผลกระทบสำคัญ ได้แก่ การเคลื่อนย้ายแรงงานจากประเทศกำลังพัฒนาไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะแรงงานฝีมือ ซึ่งเป็นที่ต้องการและมีบทบาทมากในระบบเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็มีการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีทักษะต่ำไปยังประเทศที่กำลังพัฒนา เพื่อเป็นการลดจำนวนแรงงานในประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศที่กำลังพัฒนากับประเทศที่พัฒนาแล้วภาพจาก https://pixabay.com/photos/working-workers-construction-1024382/ ภายใต้ยุคโลกาภิวัตน์ แนวคิดการพัฒนาการจัดสรรทรัพยากรของกลไกตลาด การเติบโตของการค้าและการลงทุน ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวขึ้น แต่ทำให้เกิดปัญหาใหม่ที่มีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ หรือที่เรียกว่า ภาวะรวยกระจุก จนกระจาย ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยในประเทศไทยเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง และเป็นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องแก้ไข อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญในการดำเนินการผ่านมาตรการต่างๆของภาครัฐ เพื่อให้ประชากรในกลุ่มที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และมีการกระจายรายได้จากกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงไปสู่ประชากรกลุ่มต่างๆให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สรุปได้ว่า ความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยเป็นเรื่องช่องว่างระหว่างรายได้ของคนจนกับคนรวยที่ต่างกันมาก ซึ่งคนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่มีต้นทุนในชีวิตที่สำคัญ คือ ที่ทำกิน เงินทุน องค์ความรู้ ขณะที่คนรวยนั้นครองฐานทรัพยากรจำนวนมาก ภาพจาก https://pixabay.com/photos/money-dollars-success-business-1428594/ ระบบทุนนิยมกับความเหลื่อมล้ำก็มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากระบบทุนนิยมสามารถสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจได้ดี แต่มีปัญหาในแง่ของการกระจายผลที่เกิดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือที่เรียกว่ารายได้นั้นทำได้ไม่ดีพอ กล่าวได้ว่า มีคนส่วนน้อยได้ผลประโยชน์มากจากการเติบโตของเศรษฐกิจ ในขณะที่คนส่วนใหญ่มีแค่พออยู่ พอกิน หรือไม่ก็ยากจน และยิ่งเศรษฐกิจเติบโตมากขึ้น ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยที่มาพร้อมกับกระบวนการโลกาภิวัตน์ จึงไม่ใช่แค่เรื่องรายได้มากหรือรายได้น้อย แต่รวมไปถึงมิติอื่นๆ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางโอกาสในการศึกษา ผู้ที่มีรายได้น้อยมักมีโอกาสเข้าศึกษามหาวิทยาลัยต่างจากผู้ที่มีรายได้สูงและมีโอกาสในการถือครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและทำมาหากินได้น้อยกว่า เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกัน และให้คนหากำไรจากเศรษฐกิจแบบการตลาด ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่เท่ากัน ซึ่งความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองในสังคมไทย และมีการชี้ให้เห็นว่าผู้ที่มักเสียเปรียบที่สุดในโครงสร้างที่เหลื่อมล้ำ คือ กลุ่มคนที่ยากจนที่สุดในสังคมไทย เช่น กลุ่มแรงงาน เกษตรกร กลุ่มชาวเล กลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น กลุ่มคนเหล่านี้มักได้รับผลกระทบมากที่สุดจากโครงสร้างที่ไม่เท่าเทียม และมักถูกผลักให้กลายเป็นกลุ่มชายขอบของสังคม แม้ว่าประเทศไทยจะมีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและมีนโยบายด้านการพัฒนา แต่กลุ่มคนที่ยากจนกลับจนลงและมีสุขภาวะที่ย่ำแย่ลง ในขณะที่คนที่มีอำนาจและผู้ที่มีฐานะร่ำรวยกลับได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่ห่างออกจากกันเรื่อยๆ เป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่นับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นภาพจาก https://pixabay.com/photos/bangkok-thailand-city-1759467/